พระอาจารย์
16/17 (570922C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กันยายน 2557
พระอาจารย์ – เพราะนั้นก็ให้ตัดสินใจให้มันแน่วแน่ลงไป ...จะดี...ก็รู้ตัว...ที่ตัว ...จะร้าย...ก็รู้อยู่...ที่ตัว ...จะสุขก็รู้...ที่ตัว ...จะทุกข์ก็รู้...ที่ตัว
จะเดือดเนื้อร้อนใจก็รู้...ที่ตัว ...จะอึดอัด คับ ข้อง ก็รู้...ที่ตัว ...จะฟุ้งซ่าน
หงุดหงิด รำคาญ จะแก้ไม่ตก
จะดิ้นไม่ออก...ก็รู้ลงที่ตัว
เนี่ย
จึงเรียกว่าเอาศีลสมาธิปัญญาถ่ายเดียวเป็นตัวแก้ ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต ลำบาก
เป็นสุขมาก-สุขน้อย เป็นทุกข์มาก-ทุกข์น้อย...ก็รู้ที่ตัว
โดยไม่ต้องไปพลิกแพลงอะไรน่ะ ...รู้ลงไปที่ตัวแบบซื่อๆ ตรงๆ ลงไป...ท่ามกลางอารมณ์ที่มันขมุกขมัว
พัวพัน หนัก ทับถม
จนกว่าพละกำลังแห่งคำว่ารู้ตัวนี่
มันมีในตัวของมันเองขึ้นมาเรื่อยๆ จนว่ากำลังของศีลสมาธิปัญญามันเหนือกว่ากำลังของกิเลสทั้งหลายทั้งปวงเอง
เสร็จแล้วกำลังของศีลสมาธิปัญญาหรือกำลังแห่งความรู้ตัว
ที่มันมีน้ำหนัก มันมีอำนาจ มันมีพลังเหนือกว่า ...มันจะไปทับอารมณ์ของกิเลส
ที่แต่ก่อนนี่อารมณ์ของกิเลสมันมาทับกายใจ
มันมาบดบังกายใจ …แต่ต่อไปนี่
ที่เราฝึกไปเรื่อยๆ ในการรู้ตัว อะไรเกิดขึ้นก็รู้ตัว อะไรไม่เกิดขึ้นก็รู้ตัว
อะไรดีก็รู้ตัว ร้ายก็รู้ตัวนี่
ตัวความรู้ตัวหรือพลังของศีล-สมาธิ มันจะไปทับเหนืออำนาจของกิเลส
มีพลังเหนือกว่า มีน้ำหนักมากกว่า ...กิเลสมันจะมีอำนาจมาเป็นความเศร้าหมองขุ่นมัว
อึดอัดคับข้องไม่ได้แล้ว
จึงได้ชื่อ จึงได้เรียกขานผู้นั้นว่า...เป็นผู้ที่มีศีลสมาธิปัญญาเป็นสรณะ ...ไม่พึ่งกิเลสแล้ว
ไม่พึ่งอารมณ์เป็นที่อยู่ที่อาศัยแล้ว
ไม่พึ่งความคิดเป็นตัวแก้ปัญหาแล้ว
ไม่พึ่งการกระทำคำพูดแห่งเราเป็นตัวลุล่วงปัญหา แก้ปัญหา สร้างสุขสร้างทุกข์แล้ว ...มันไม่อาศัยแล้ว
อาศัยลำพังแต่ศีลสมาธิปัญญา ก็อยู่ได้...อยู่ได้ด้วยความไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดๆ
ที่จะเกิด ที่จะมาก ที่จะน้อย ที่จะไม่เกิด ที่จะไม่มาก ที่จะไม่น้อย อะไรก็ตาม
จึงได้ชื่อว่าผู้ที่มีศีลสมาธิปัญญาเป็นที่พึ่งนั้นแล เป็นผู้ที่อาจหาญในธรรม ไม่กริ่งเกรง
ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...เดินหน้า เดินไปบนมรรค...ด้วยศีลสมาธิปัญญาเป็นอำนาจ
เหมือนดุจดั่งราชสีห์ออกล่าเหยื่อ...คือกิเลส ...ผู้ปฏิบัติธรรมน่ะ
มันต้องให้ได้อย่างนี้ ...ไม่ใช่มาหงอกับกิเลส มาหงอ มากลัวความคิด
มากลัวแต่อารมณ์
เวลามีกิเลสเกิด มีอารมณ์เกิด
หันรีหันขวาง ลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก นอนซมนอนเซา นอนน้ำตาไหล น้ำตาซึม
นอนตัดพ้อต่อว่าตัวเอง คนนั้นคนนี้ ...ไอ้นี่มันหงอ ไม่ลุกขึ้นสู้
สำหรับคนที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาสู้ก็ว่าไปอย่าง แต่ไอ้คนที่มีอะไรมาสู้แล้วไม่สู้ นี่...มันใช้ไม่ได้
ไอ้คนที่ไม่รู้จะเอาศีลสมาธิปัญญาตัวไหนมาสู้
เพราะไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน มันก็ว่ากันไม่ได้ ...มันก็ไปหาวิธีการนั้นวิธีการนี้
กำหนดจิตตรงนั้นตรงนี้ไป ว่าไม่ได้
แต่ไอ้คนที่มันรู้แล้ว ฟังแล้ว ได้ยินแล้ว
เราพูดจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้วนี่ ...ไอ้นี่มันใช้ไม่ได้ ไปหงอกลัวมัน
แล้วก็ปล่อยให้มันขึ้นคอขี่หลัง เหยียบเอา กระทืบซ้ำให้จมอยู่ในกองกิเลส
แล้วก็มานั่งบ่นนั่งบอกว่าทำไม่ได้ๆ ...ไอ้นี่มันใช้ไม่ได้ ...มันจะทำไม่ได้ยังไง กายใจมันหายไปได้ยังไง
มันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว อยู่ตรงท่ามกลางกิเลสที่มันปรากฏอยู่นั่นน่ะ
มันนั่งคิด หรือมันไปคิดอยู่ลอยๆ
กลางอากาศล่ะ หือ หรือมันยืนคิดอยู่ล่ะ ...ทำไมล่ะ
กายใจมันก็อยู่ตรงที่ยืนเดินนั่งนอน แล้วในยืนเดินนั่งนอนมันก็มีความคิดมีอารมณ์อยู่ในนั้น
จะไปบอกว่ากายใจไม่มี...ไม่ได้ ...ไอ้นี่เรียกว่าไม่สู้
ไม่พากเพียรเอาสติสมาธิปัญญาเข้ามาสู้ ...ไม่มีสติก็สร้างสติขึ้นมาสิ ระลึก...กายก็อยู่ตรงนั้น
ตรงไหนก็ได้...ที่ตีน ที่มือ ที่แขน ที่ขา
ที่หน้า ที่ตัว ที่ตึง ที่หนัก ที่ปวด ที่เมื่อย ที่อุ่น ที่ร้อน ที่แข็ง ที่กระเพื่อม
ที่กระเทือน ...มันมีบ้างมั้ยล่ะ
สู้กับกิเลสน่ะ ต้องสู้แบบ...สู้ไม่ถอยน่ะ
จนกว่ากิเลสมันจะถอยน่ะ สู้แบบหมาพิตบูลน่ะ
กัดไม่ปล่อยน่ะ ...เอาจนกว่าจะพลิกมาอยู่เหนือมันได้นั่นแหละ
ไม่เลิก ไม่พัก ไม่หยุด...ที่จะสร้าง ที่จะทำความรู้ตัว
จนกว่าจะอยู่เหนือกิเลสได้...เป็นช่วงๆ ไป
...นี่ ต้องสู้กันแบบสู้ไม่ถอยกันอย่างนี้
แล้วก็บอกให้อีกซ้ำด้วยว่า
ต้องสู้ด้วยวิธีการเดียวเท่านั้น สู้กันแบบว่า...สู้ตรงๆ ละกันแบบตรงๆ เลยน่ะ
วางกันแบบตรงๆ กันเลยน่ะ ไม่ต้องมีอุบายซับซ้อนอะไร
ทำความรู้ตัวลงไปตรงๆ ตรงนั้นเลย...ท่ามกลางอารมณ์ ท่ามกลางกิเลส ท่ามกลางความคิด ท่ามกลางความทุกข์-ความสุขอะไรก็ตาม ทั้งจากเราจากเขาอะไรก็ตาม
แล้วแต่ว่าจิตมันจะแอบอ้างเสกสรรปั้นแต่งอะไร
เป็นขันธ์น้อย ขันธ์ใหญ่ ขันธ์ไกล ขันธ์ใกล้ ขันธ์หยาบ ขันธ์ละเอียด ขันธ์สุข
ขันธ์ทุกข์ ขันธ์ประณีต ขันธ์ดี ขันธ์เลิศ ...เหล่านี้ไม่เอา
เอากายใจเป็นที่ตั้ง...ที่เดียวเท่านั้น ...บอกแล้วว่า ที่เดียวเท่านั้นเป็นที่ไม่มีกิเลส ท่ามกลางกองกิเลส
พระพุทธเจ้ากับสาวกทุกองค์น่ะ
อรหันตสาวกทุกท่าน ท่านก็สู้ด้วยวิธีนี้มาตลอด ไม่ว่าพระพุทธเจ้ากี่พระองค์
ท่านก็สู้ด้วยวิธีนี้ ...เอาศีลสมาธิปัญญานี่เข้าสู้
ท่านไม่มามัวนั่งคิดนั่งหาวิธีสู้ด้วยนะ
ไม่มาเปิดตำราสู้ด้วย ท่านสู้กันแบบ...ศีลสมาธิปัญญาตรงๆ นี่ สู้กันตรงๆ ไปเลย ...ก็เห็นท่านชนะกันมาทุกรายไป
ท่านเป็นนักสู้ที่แท้จริง
ไอ้พวกเรามันพวกขี้แพ้น่ะ
ยอมแพ้ตั้งแต่กิเลสยังไม่เกิด ...แพ้ตอนไหนที่ว่ากิเลสยังไม่เกิด คือยังไม่ทันมีความคิด
ยังไม่มีอารมณ์เลย กูก็ปล่อยล่องลอยแล้ว เพลินหายแล้ว สบายใจ...เรา
นี่
มันแพ้ตั้งแต่ยังไม่มีกิเลสเกิดเป็นชิ้นเป็นอันเลย เห็นมั้ย ...แล้วอย่างนี้จะไปชนะตอนที่กิเลสเกิดนี่นะ
มันจะเอาอะไรไปชนะ ...มันยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
แล้วจะเอาศีลสมาธิปัญญาที่เป็นอดีตมาแก้...ก็ไม่ได้ ...ที่เคยมีเคยเป็นอย่างนี้ เคยรู้ตัวได้อย่างนั้นอย่างนี้ ทรงได้อย่างนั้นนานขนาดนี้
...โอ้ย มันเป็นอดีตไปแล้ว มันแก้ปัจจุบันไม่ได้ มันแก้กิเลสปัจจุบันไม่ได้
มันก็เป็นแค่ความคิดนึกสัญญาในขันธ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญาตัวจริง ...ของจริงต้องเป็นปัจจุบัน กายใจก็ต้องเป็นกายใจตัวจริงที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่กายใจอดีต-อนาคต
เพียรซ้ำซาก รู้ซ้ำซาก
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้ ไม่ท้อถอย ไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่หยุด ไม่เลิกรา จนมันชนะกิเลสได้ทุกตัว
ชนะความคิดได้ทุกความคิด ชนะอารมณ์ได้ทุกอารมณ์
ชนะความปรุงแต่งได้ทุกความปรุงแต่งนั่นแหละ
จากที่เคยถูกมันกระหน่ำซ้ำเติมมาแบบ...แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนจากความนึกคิดปรุงแต่งอารมณ์ได้เลย
...มันก็เกิดความโล่งเบาขึ้น ขันธ์อันน้อยนิด
ก็จะหดมาเหลือแค่ขันธ์อันเป็นขันธ์ปัจจุบัน
สุดท้ายขันธ์ห้าปัจจุบันก็จะหดลงไปเหลือแค่กายใจปัจจุบัน หดจนเหลือแค่กายใจปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นใครของใครเลย ...จนหลอมรวมกับสามโลกธาตุเป็นธรรมหนึ่งธรรมเอก เป็นสาธารณธรรม เป็นธรรมที่เป็นกลางของโลก ของสามโลก
กิเลสมันหายไป มลายไป สิ้นไป
คืนสู่สภาพเดิมที่แท้จริงของมัน คือว่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย ...นี่ ศีลสมาธิปัญญามันเข้าไปลบล้าง
กวาดล้าง จนสิ้นซาก ไม่เหลือซาก
บอกแล้ว จะดีจะร้าย จะถูกจะผิด
มีวิธีแก้วิธีเดียวคือรู้ตัว ...ไม่มีวิธีอื่นหรอก แก้ไม่หมดหรอก แก้ไม่จบ
ไม่สะเด็ดน้ำหรอกกับทุกข์นั้นๆ เรื่องราวนั้นๆ
มันจะจบได้ต่อเมื่อจิตนี่หยุด...มาหยุดอยู่ที่รู้
มาหยุดอยู่กับตัว มาหยุดอยู่ที่ศีล มาอยู่ที่สมาธิ แล้วมันก็จะตายด้วยปัญญา...ที่รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า...ที่ว่าเป็นอะไรๆ เรื่องอะไรๆ
เรื่องของใครเรื่องใดเรื่องหนึ่งนี่
แท้ที่จริงมันไม่มีอะไร ไม่มีเรื่องอะไร
คิดเอาเองทั้งนั้น ...จิตว่าไปเอง จิตสร้างเรื่องขึ้นมาเอง
ให้มันเป็นเรื่อง แล้วก็เพิ่มคุณค่าว่าสำคัญมาก-สำคัญน้อยกว่ากัน ไปให้ลำดับขั้นตอนความสำคัญของเรื่อง
นี่คือความเสกสรรปั้นแต่งของกิเลส ...มันสามารถทำของที่ไม่มี สิ่งที่ไม่มี...ให้มันมี ให้มันจริง ให้มันเที่ยง
ให้มันจับต้องได้ซะอย่างงั้น
เพราะนั้นการปฏิบัตินี่
สำคัญที่รู้ตัวเท่านั้น ...ไม่สำคัญว่าจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไรหรอก
ว่าจะรู้อะไรมากกว่าคนนั้น น้อยกว่าคนนี้หรือเปล่า ...ไม่สำคัญหรอก
สำคัญว่าเดี๋ยวนี้ รู้ตัวมั้ย
ว่าตัวนี้อยู่อย่างไร รู้มั้ยว่าตัวกายนี่มันแสดงความรู้สึกอาการใดบ้าง ...แม้จะไม่รู้อะไรเลย
แต่รู้อย่างเดียวว่าความรู้สึกในกายเดี๋ยวนี้มีอะไร อยู่ยังไง ...นี่เพียงพอต่อนิพพานแล้ว
เพราะนั้นนิพพาน ไปสู่ความหลุดพ้น...โดยที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากว่ารู้อย่างเดียวว่าตัวนี้คือใครของใคร...นี่ พอแล้ว
ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาความรู้ในที่อื่นเลย
ไม่ต้องไปเสียเวลาสร้างสภาวะอารมณ์ให้จิตไปครอบครองแล้วถึงจะไปนิพพานกัน...ไม่ต้องเลย
แต่ไปด้วยความว่างเปล่าจากอารมณ์
ไปด้วยความว่างเปล่าจากความคิดนึกปรุงแต่ง
ไปด้วยความหยุดอยู่ของจิตโดยสนิทแนบแน่นอยู่กับกายใจ
เพียงพอต่อการเข้ามรรคผลและนิพพานแล้ว
ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ...
ปัจจุปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ...ที่นี้ที่เดียวเท่านั้น
นี่แหละ เท่านี้แหละ มีอะไรถามอีกมั้ย
โยม – ไม่ถามแล้วค่ะ
พอจะสรุปตัวเองได้แล้วค่ะ มันคิดแล้วก็มีข้ออ้างเยอะ จะไปทำการบ้านตรงนี้ส่วนนี้ให้มันเยอะกว่านี้น่ะค่ะ
พระอาจารย์ – มันจะยกอะไรขึ้นมานี่...ทิ้งเลย
มันจะยกแง่มุมนั้นแง่มุมนี้ขึ้นมานี่...พอรู้ สติรู้ขึ้นมาเมื่อไหร่นี่...ทิ้งเลย ไม่ต้องเสียดายเลย แล้วไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะแก้ไม่ได้
ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาข้างหน้า
อย่าปล่อยให้มันไปคิดต่อ ไปซ้อนภพขึ้นมา...ทิ้งเลย
พอมันจะเริ่มคิดเริ่มควาน...ทิ้งเลย ...แล้วจะทิ้งเปล่าๆ ไม่ได้ ถ้าทิ้งเปล่าๆ เดี๋ยวมันจะไปอีก ...ทิ้งแล้วจะต้องอยู่ จะต้องมีที่เกาะอยู่
โดยมีศีลนี่เป็นเกราะกำบัง จะต้องมีกายนี่เป็นจุดยึดโยง ไม่งั้นน่ะ ขนาดยึดโยงแล้วนี่มันยังออกไปเลย
...เพราะว่ากำลังแห่งการยึดโยงระหว่างสติสมาธิกับกายกับศีลนี่...มันต่ำ
มันยึดไม่อยู่ มันโยงไว้ไม่อยู่
ก็เรียกว่ากำลังมันต่ำ มันอ่อน มันก็ปลิวออกไปอีก ...มันยังไม่ยอมเลิก มันยังไม่ยอมแล้วใจ มันยังไม่ยอมแล้วกิเลส ...กิเลสไม่ยอมเลิกแล้วอะไรง่ายๆ
หรอก มันจะดันทุรัง
ทีนี้ก็ต้องสู้ด้วยการเอากลับอีก ...ไม่เอา
บอกมันไม่เอา จะเป็นตายร้ายดีต่อไปข้างหน้าข้างหลัง...ไม่เอา ...เอาแค่ปัจจุบัน ถือกายเป็นปัจจุบัน
ถือกายเป็นเครื่องระลึกรู้ ถือกายเป็นเครื่องหยุดอยู่
ถือกายเป็นที่พักพิงอาศัยของจิต
เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงไปเอง...ความคิด
อารมณ์ มันอ่อนไป ...มันก็คล้ายๆ กับว่า “ไม่รู้กูจะคิดไปทำไม
ไม่เอาแล้ว” มันรู้สึกได้เองนี่ มันจะตัดบทไปเลย “เอาล่ะวะ เจออะไรก็เจอ ได้อะไรก็ได้ เป็นก็เป็น”
ทีนี้จิตมันก็สงบแนบนิ่งอยู่กับกายอยู่กับศีล ...ทีนี้ต้องรักษานะ ถ้ามันแนบนิ่งแล้ว
กิเลสมันสลายไปชั่วคราวนึงนี่ จะต้องรักษาคงความต่อเนื่องไว้ อย่าทิ้งๆ ขว้างๆ
เมื่อทรงสภาพรู้ตัวได้
จิตมันอยู่กับความรู้ตัวด้วยความพรักพร้อมในตัวของมันเองแล้ว อย่าทิ้งๆ ขว้างๆ ...ต้องเพียรรักษาไว้
โยม – ม้าตัวนี้ของเรามันมีปัญหาน่ะค่ะ คือก็เจอความทุกข์แล้วอยู่ไม่ได้ ก็หนีไป ...ตรงนี้ มันไม่กล้าค่ะ
พระอาจารย์ – ต้องกล้าที่จะเผชิญ
รับรู้กับทุกสิ่ง ท่ามกลางกิเลสน้อยใหญ่นั่นแหละ
ท่ามกลางความพอใจ-ไม่พอใจแห่งเรานั่นแหละ ...จะต้องเอาศีลสมาธิปัญญามาเยียวยาตรงนั้นให้ได้
ไม่อย่างงั้นน่ะ มันจะเป็นนกกระจอกเทศ ...เคยเห็นมั้ย เวลาอะไรจะมาโจมตีมัน มันเอาหัวซุกดินเลย แล้วก็โก่งก้น มันบอกมันไม่เห็นอะไรแล้ว มันไม่กลัว ...เนี่ย
แก้ปัญหาแบบนกกระจอกเทศ
มันจะต้องกล้าที่จะเผชิญกับทุกสิ่งโดยที่ว่าไม่หลีก
ไม่หนี ไม่เลี่ยงเลย ...แต่ว่าสามารถจะสอดแทรกหรือว่าดำรงศีลสมาธิปัญญาอยู่ได้ตรงนั้น...เป็นหลักขึ้นมาท่ามกลางมรสุม
ไม่งั้นก็จะกลายเป็นพวกอีแอบ ...พวกอีแอบนี่ส่วนมากจะสำคัญตนมั่นหมายว่ากูเก่งในธรรมด้วย มันจะมีมานะ
คือหนีจนเก่งน่ะ หนีจนชำนาญการหลีกเร้น
เพราะนั้นครูบาอาจารย์สายกรรมฐานนี่
ท่านกล้าเผชิญความเป็นจริง
ท่านฝึกเผชิญความเป็นจริงมาตั้งแต่นั่งกันแบบข้ามวันข้ามคืนแล้ว
เพื่อเผชิญกับความเป็นไปของขันธ์น่ะ ...ไม่หนี ไม่ลุก ไม่แก้
หรือเผชิญกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในป่าคนเดียว
ไม่หลีก ไม่หนี ไม่แก้ เพราะไม่รู้จะแก้ยังไง ...ท่านเผชิญ ท่านไม่หนี
ท่านไม่มามัวนั่งคิดนั่งค้นหาวิธีแก้เลย
เผชิญหน้ารับรู้กับมัน
ตั้งมั่นอยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญา สู้กัน จิตมันจะคอยหวั่นคอยไหวไป อย่างนั้นอย่างนี้อย่างนู้น
ท่านก็สู้ด้วยศีลสมาธิปัญญา เผชิญกับความเป็นไปของขันธ์
ความเป็นไปของสิ่งแวดล้อมขันธ์
ไม่เหมือนคนสมัยนี้...ฝึกปฏิบัติกันแบบง่ายๆ ลวกๆ ...พอเจออะไรป๊อกอะไรแป๊กขึ้นมา...ก็ล้มแล้ว เลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว ...ไม่กล้าเผชิญ ไม่กล้าดู ไปจนถึงที่สุดแห่งมัน
นี่ ไม่กล้ารู้อยู่กับมัน ไม่กล้าเอาศีลสมาธิปัญญาตั้งมั่นแล้วก็รับรู้กับมัน
เห็นความเป็นไปของมันตามระบบไป
(ต่อแทร็ก 16/18)