พระอาจารย์
16/30 ( 571005C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
5 ตุลาคม
2557
พระอาจารย์ – เพราะนั้นถ้าเพียรเพ่งลงที่กาย
รู้เห็นแต่จำเพาะกายจริงๆ นี่ ...มันจะเห็นขันธ์ห้าเกิดดับ
และก็จะเห็นว่าขันธ์ห้ามันเกิดที่ไหน เกิดจากอะไร นี่...ขันธ์ห้าเกิดมาจากจิตปรุงแต่ง
แต่ถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ
จะไม่เห็นกายตามความเป็นจริง จะไม่รู้จักกายตามความเป็นจริง ...ซึ่งกายตามความเป็นจริง ใจตามความเป็นจริงนี่ คือแก่น แก่นของขันธ์ห้า
คือมันเป็นตัวอ้างอิงของกิเลส
ที่มันจะสร้าง...อาศัยกายใจนี่เป็นตัวอ้างอิงไปสร้างขันธ์ห้า ...เพราะนั้นถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ
มันก็ไม่มีการที่จะถึงที่สุดของขันธ์ห้าเกิดดับ ที่ว่าดับโดยสิ้นเชิง
มันจะดับได้ยังไงโดยสิ้นเชิง ...เพราะมันยังไม่รู้เลยว่าต้นตอของขันธ์ห้านี่ มันมาจากอะไร
มันอ้างอิงอะไรเป็นการสร้างขันธ์ห้าขึ้นมา รูปเวทนาสัญญาสังขาร มันอ้างอิงอะไร
เนี่ย มันก็บอกตั้งแต่ต้น
ตั้งแต่หัวข้อแรกแล้วว่า... “รูป” ...รูปมันอ้างอิงกับอะไร ...มันอ้างอิงจากกาย
การดำรงคงอยู่ของกาย...นี่ มันอ้างกาย
กิเลสมันอ้างกายขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์
สถานะ วรรณะ สัณฐานขึ้นมา ...พอมีรูปปุ๊บนี่ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ พรึ่บ
นี่ขันธ์ห้าเกิดแล้ว...โดยอ้างอิงกายเป็นหลัก
แต่ถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ
ดูขันธ์ห้าเกิดดับ แต่ไม่รู้ว่าต้นตอของขันธ์ห้านี่มันมาจากไหน ...จิตมันก็ยังอาศัยขันธ์ห้านี่เป็นเครื่องมือในการก่อร่างสร้างกิเลส
นั่น ความต่อเนื่อง
ความสืบเนื่องในขันธ์ห้า ไม่มีคำว่าทุเลาเบาบางลงเลย ...เพราะนั้นมันต้องมาแก้ที่เหตุ
หรือว่าต้นตอของขันธ์ห้า นี่...มันจะหนีพ้นกายใจได้ยังไง
จนกว่ามันจะรู้จริงรู้แจ้ง...ว่ากายคือสักแต่ว่ากาย
กายคือสักแต่ว่าการรวมตัวกันของธาตุ กายคือสักแต่ว่าสภาวะธาตุ
สภาวะเวทนาที่เป็นเอกภาพเอกธรรม อิสรภาพอิสระธรรม ไม่ได้ขึ้นแก่ใครแล้ว นั่นแหละ
มันจึงจะเข้าใจ
ทีนี้กิเลสมันจะมาหลอกลวงสร้างกาย...สร้างรูปมาจากกายที่เป็นเราได้อย่างไร
ขันธ์ห้ามันจะเกิดได้อย่างไร นี่ ...ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันตาย ขันธ์ห้าก็ดับก่อนแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของว่าง ...แล้วนอกจากว่างแล้ว ยังไม่มีขันธ์ห้าในเรา ยังไม่มีเราในขันธ์ห้าอีกด้วยซ้ำ ...และยิ่งกว่านั้น ท่านยังบอกว่าโลกสามโลกธาตุนี่ว่าง เป็นสุญโญ
เพราะนั้น กายใจที่เดียวนี่จบหมดน่ะ...ทำให้มันได้เหอะ ทำให้มันจริงเหอะ ...แล้วก็จริงๆ จังๆ ลงไป
เอาแบบว่าเก็บมันทุกเม็ดเลยน่ะ ไม่เอ้อระเหยลอยชาย
แบบภาษาที่เขาว่า
อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ...อย่าปล่อยให้กิเลสมันลอยนวล อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว
อย่าปล่อยจิต อย่าอยู่แบบเลื่อนๆ ลอยๆ ...เหนื่อยก็ต้องเหนื่อย ยากก็ต้องยาก
แต่ละท่านแต่ละองค์ที่ท่านฝ่าฝันกิเลสมานี่
เลือดตาแทบกระเด็นทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครสำเร็จมรรคผลแบบบนฟูกหรอก
บนความมั่งมีดีสุข...ไม่มีอ่ะ
โดนกระหน่ำมาย่ำยีมาทั้งนั้น
ด้วยอำนาจกิเลสทั้งภายในและภายนอก ท่านก็บากบั่นฝ่าฟันกันมา...มาจนถึงมรรคจนถึงผล
ตามลำดับของการพากเพียรของท่านนั้นๆ
เพราะนั้น อย่าไปลังเลสงสัยในมรรค
อย่าไปลังเลสงสัยในศีล ...ว่าจะถึงไหมหนอ ว่าจะได้ไหมหนอ นี่คือจิตส่งออกนอกน่ะ (เสียงโยมหัวเราะ)
ถ้าออกนอกกายเมื่อไหร่มันต้องคิด
ถ้าออกนอกกายเมื่อไหร่มันจะต้องหา ...สันดานไม่ดี สันดานกิเลสจะเป็นอย่างนี้ ถ้าออกนอกกายเมื่อไหร่ ไม่คิดก็ต้องหา
ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งล่ะวะ
และไอ้ที่มันหา...ก็ไม่รู้จะเจอกันรึเปล่านะ
ทั้งในชาติปัจจุบัน และในชาติข้างหน้าด้วยนะ นี่ มันหาไปถึงชาติหน้าด้วยนะ...ใช่มั้ย (หัวเราะกัน)
แต่ถ้ามันมีกายใจเป็นเครื่องกำหนดไว้ เป็นเกราะกั้นไว้นี่ การคิดการหาจะน้อยลง ไม่ค่อยมีช่องทางให้มันค้นหาเท่าไหร่ ...เราถึงบอกว่า ถ้ามันอยากค้นนะ
ให้ค้นลงที่กาย ค้นไปตามตีนมือแขนขาหน้าหลัง
อยากค้นดีนัก ให้มันค้นไป
ไล่ความรู้สึกในกองกายไป นั่น...แต่มันไล่กันไม่ถึงรอบก็เบื่อแล้ว
ไล่สองรอบ..แทบตาย สามรอบ...ไม่ไหวแล้ว ...เห็นมั้ย ความเพียร เนี่ย ความเพียรขนาดไหน
เวลาเราเดินจงกรมรอบหนึ่งนี่
เราทวนกายได้หัวจรดตีนนี่ไม่รู้กี่พันครั้ง ไวมาก ทุกการก้าวเดินนี่ พิจารณาตลอดหัวจรดเท้าน่ะ ...ไม่ได้พิจารณาด้วยความคิดนะ
พิจารณาโดยจิตนี่เคลื่อนขึ้น-ลง
แบบมองผ่านกายอยู่ตลอด ขึ้น-ลงๆ นี่
ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบในการเดินจงกรมรอบหนึ่งๆ จนจิตนี่มันเหนื่อยล้าอ่อนแรง
ไม่ไปไม่มาเลย
มันอยู่เลย อยู่กับกายทั้งก้อนอย่างนั้นเลย
เอามันจนเหนื่อยเลย ขึ้น-ลงๆๆ ...นี่หยุด ไม่มีที่ให้มันไปเลย ...มันอยากไปดีนักนี่
จนมันเหนื่อยน่ะ ไม่มีที่ให้มันไป
โยม – ด้วยความรู้สึกน่ะหรือเจ้าคะ
พระอาจารย์ – ไล่ความรู้สึก เท้าจรดหัว..หัวจรดเท้านี่
เพราะนั้นการเดินนี่ ดีกว่าการนั่ง มันมีการปรากฏของกายในความรู้สึกอย่างชัด ...แต่ไม่สนับสนุนให้ยกมือเป็นหุ่นยนต์ มันจะเป็นแพทเทิร์น
เดินจงกรม เดินอยู่ในอิริยาบถเดินธรรมดา ไม่ต้องแบบสำรวมเพ่งอะไร เดินธรรมดา ...แต่อย่าเงยหน้า เพ่งมองต่ำ
เพราะว่าต้องสำรวมตา ตานี่ต้องสำรวม ถ้าเงยหน้านะ...เสร็จ
โยม – ไปเลยฮ่ะ ล่อกแล่กเลย มันรุ่ยหมด
พระอาจารย์ – มองทอดสายตาลงต่ำประมาณศอก-สองศอกนี่ แค่นี้ แล้วก็เดินไป กึ่งเร็วกึ่งช้า ไม่รีบแล้วก็ไม่เร่ง แล้วก็ไม่ช้าจนแบบว่า
ยกย่างเหยียบๆ อย่างนั้นไม่ต้อง ...ให้มันเป็นธรรมชาติธรรมดา
โยม – สติธรรมดาของเรา
พระอาจารย์ – แล้วก็เอาความรู้สึกนี่ไล่ เอาจิตนี่มาไล้...ไล้ไปตามความรู้สึกในตัว เบาๆ ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องเร่งรัด เบาๆ เหมือนลูบ ...ลักษณะเอาจิตไปรู้สึกตัวนี่ เหมือนเอามือไปลูบ
ลูบอย่างนี้ ใช้จิตลูบไล้
คลอเคลียอยู่ในความรู้สึก เบาๆ ...อย่าเอาแรง อย่าเอาแบบเอาเป็นเอาตาย เอาทีเดียวให้อยู่
อย่างนี้...ไม่ได้ เครียด เคร่ง แล้วจะปฏิฆะ โทสะ
ลูบไล้ธรรมดา แล้วมันจะค่อยๆ
ชัดเจนขึ้นเอง ...อย่ารีบรัด อย่าเร่งรัด ทำให้มันเป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็ไม่ต้องตั้งเวลา อย่าตั้งเวลา เดินไป อย่าตั้งเวลา
เดินไป เมื่อยก็เดินไป ต่อไป
ไม่ต้องรีบ ...คอยสังเกตจิตที่มันจะชักนำให้ออก แล้วก็รีบละเลย ตัดไม่เอา ไม่ต้องไปคิดต่อๆ
แล้วก็มาลูบไล้ อดทนไป
พอถึงจุดที่มันจะหยุด ที่มันจะเลิก
มันจะมีจุดของมันเอง... ให้มันถึงจุดนั้นก่อน พอถึงจุดนั้นปึ้บนี่
ศีลสมาธิปัญญาจะอยู่ หมายความว่าเลิกแล้ว ความรู้สึกกับตัวก็ยังอยู่ ยังคงอยู่
แล้วก็ค่อยๆ สำรวมรักษาอิริยาบถ
เดินไปที่นั่นที่นี่ เดินไปขึ้นนอน ทำกิจธุระอะไรก็ได้
โยม – ใช่ค่ะ มันจะติดออกไป
พระอาจารย์ – มันจะอย่างนั้น แล้วต้องรักษาไว้ตลอด
แล้วก็เพียรทำอย่างนี้ ให้ต่อเนื่อง ไปจนถึงนอนหลับเลย ...แล้วก็ไปพักตอนที่หลับ
ตอนที่หลับมันค่อยพัก หมายถึงพักการเจริญศีลสมาธิปัญญา
เนี่ย ถ้าทำได้เป็นวัตร
เป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ จิตมันไม่มีทางไปไหนหรอก ...แล้วมันก็จะยินยอมพร้อมใจอยู่กับความมีเนื้อมีตัว อยู่กับเนื้อกับตัว โดยความที่ว่าไม่ต้องบังคับกดข่มมาก
เพราะนั้น อย่าไปหมดเวลากับการคุย
การรับรู้เรื่องราวต่างๆ เข้าใจมั้ย...สู่รู้น่ะ การสู่รู้น่ะ
การช่างซักช่างถามความเป็นไปของสัตว์บุคคลนี่ ...นี่คือคำว่าสู่รู้
เรียกว่า...อยู่ดีๆ หาเหาใส่หัว
เข้าใจมั้ย ...ไม่รู้เรื่องอะไรเลย กับการที่รู้เรื่องนี่ มันมีอารมณ์
มันไปแบกอารมณ์เข้ามาไว้แล้ว มันไปแบกอะไรต่ออะไร
กับการที่ปฏิเสธ ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องไปอยากรู้อะไรเลยนี่
...มันง่ายต่อการที่จะไม่ต้องไปเสียเวลาชำระขัดเกลา สิ่งที่รับรู้ เสือกไปรู้
อยากไปรู้ แล้วไปรู้มานี่ ...มันจะเก็บไว้หมดเลย
เพราะนั้น อยู่แบบหูหนวกตาบอด
...เวลาเขาพูดอะไร ใครทำอะไรนี่ อย่าแส่ออก อย่าให้จิตมันวิ่งไปจับ
หรือว่าพากายใจไปตั้งอกตั้งใจฟัง ตั้งอกตั้งใจวิเคราะห์กับเขาอย่างนี้...เสร็จ
เพราะเราอยู่ในโลกที่มันแวดล้อมด้วยข้อมูลข่าวสาร
และไวมาก โดยเฉพาะเฟสบุ๊ค อินเตอร์เน็ท ...ถ้าได้เข้าเน็ทนี่ มันหายไปเลย
กายใจนี่จะอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าล่องลอย มันถูกลบล้างไปเลย
โยม – ใช่ฮ่ะ มันหายไปเลย
พระอาจารย์ – มันลบล้างไปเลยน่ะ ...ไม่มีตัวนั่ง
ไม่มีตัวมอง ไม่มีตัวมือตัวแขน ไม่มีอะไรเลย มันถูกเลือน มันถูกลบไปจากระบบเลยน่ะ
โยม – เพาเวอร์แมนเลยฮ่ะ
พระอาจารย์ – เพาเวอร์แมนยังขายได้เงินน่ะ ...ไอ้นี่มันไม่ได้อะไร กิเลสเต็มๆ น่ะ
โยม – (หัวเราะกัน)...แถมได้โมหะกลับมาเพียบเลย
พระอาจารย์ – แล้วมันยังไปเก็บเกี่ยวขยะเข้ามาอีกเท่าไหร่
ความเป็นไปของดารา ความเป็นไปของคนที่เป็นไอดอลของเรา หรือให้ติดตามผลงาน
หรือให้ติดตามรับรู้กับเขานี่
มันยังเก็บมาไว้
แล้วก็มาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากมาย ถึงเนื้อถึงตัวเรายังไง
เราจะได้อย่างงู้นอย่างงี้ โอ้ย เพ้อเจ้อ ...ไม่ต้องถามหากายใจตรงนั้นนะ หมดสิทธิ์
บอกให้เลย
ถึงบอกว่า นานวันต่อไปในโลก
คนในโลกยุคต่อไปนี่ ...การเดินบนมรรค การอยู่ในมรรค การเข้าถึงมรรค จะยากขึ้นตามลำดับ
ไม่ใช่ของง่ายเลย
ทั้งๆ ที่ว่ามรรคมันมีอยู่แล้วนี่
แต่การที่จะไปยืนดำรงบนเส้นทางแห่งมรรค บนกายใจปัจจุบันนี่ ยากยิ่งกว่ายาก ...เหมือนเดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี่
ถ้าเทียบกับร้อยปีก่อน ก็ยากยิ่งกว่าเมื่อร้อยปีก่อนอีก
เพราะนั้น เมื่อรู้แล้ว...ข้อสอบคืออะไร
คำเฉลยข้อสอบคืออะไร ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าต้องตั้งใจกามัน ...แล้วไม่ใช่แค่เข้าใจไปกาครั้งเดียวแล้วก็เลิก
กาแล้วต้องคาไว้เลย
ไม่งั้นน่ะมันจะไปติ๊กข้ออื่น
ไปเอาเรื่องที่อื่น มาเป็นเรื่อง แล้วมันจะไม่มีคำว่าจบเรื่องเลย ...เพราะนั้นมันต้องกาอยู่ตรงนี้เลย จรด..จรดไว้เลย
เอาจิตน่ะมาจรดไว้อยู่ตรงนี้เลย จรดไว้เลย
เพ่งก็เพ่งล่ะวะ
คร่ำเคร่งก็ต้องคร่ำเคร่งล่ะวะ เครียดก็ต้องเครียดล่ะวะ ดีกว่าหลงน่ะ ดีกว่าหายน่ะ ...เครียดอยู่ในกาย ดีกว่าไปเครียดเรื่องกายคนอื่นน่ะ เอาป่าวล่ะ
ก็ต้องเครียดน่ะ ...เพราะมันจะออกจากทุกข์ได้นี่ มีช่องเดียวเท่านั้น นี่ มีช่องเดียวเท่านั้น
ไม่มีช่องสำรองเลยน่ะ ...ตายตัว มรรคผลนี่ตายตัว ขาดตัวเลย ไม่มี choice ABC
โยม – ไม่มีตัวเลือก
พระอาจารย์ – ไม่มีตัวเลือกอื่นเลย
เพราะนั้นใครจะพยายามดัดแปลงแก้ไขศีลสมาธิปัญญา
ให้เป็นไปตามอย่างกิเลสน่ะ อย่าไปเชื่อนะ ที่พยายามจะอธิบายให้มันใกล้เคียงกับความคิดความเห็นของผู้นั้นผู้นี้
อะไรที่จะให้มันเบี่ยงเบนออกจากกายใจนี่ ให้รู้ไว้เลยว่า อย่าไปหลงคารมนั้น
อย่าไปหลงโวหารนั้น โดยอ้างอิง...พวกนี้ส่วนมากจะอ้างอิงภูมิธรรมมารองรับ
ก็ดูลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งหมดนี่
มีใครประกาศภูมิธรรมตัวเองบ้าง มีอยู่องค์เดียวที่ประกาศอย่างชัดเจนคือหลวงตาบัว
เห็นมั้ย นอกนั้นไปถาม ไปบีบคอบังคับท่านนี่ ว่าท่านเป็นอะไร ไม่มีใครพูดหรอก
โยม – ของแท้ท่านไม่พูด
พระอาจารย์ – อือ มีใครประกาศแบบชัดเจนหรือว่าเป็นนัยยะอะไรให้ไปตีความบ้าง...ไม่มีอ่ะ มีแต่ท่านจะปฏิเสธอย่างเดียวแล้วก็ถ่อมตน จะอยู่ด้วยความถ่อมตน
ครูบาอาจารย์บางท่านนี่
ไปกราบไปเจอท่านนี่ เวลาถามพรรษากันน่ะ ท่านน่ะประมาณสักสี่-ห้าสิบพรรษา
ท่านยังบอกเลย..."ผมยังเป็นผู้น้อยอยู่"
นี่ ท่านพรรษาเท่าไหร่
ท่านยังอยู่ด้วยความถ่อมตนถึงขนาดนั้น เข้าใจมั้ย เวลาไปถามท่านนี่
ท่านว่าพรรษาผมยังน้อยอยู่ ยังอ่อนอยู่ ...อ่อนอะไร สี่สิบ-ห้าสิบพรรษาเข้าไปแล้ว
เพราะนั้นการกราบนอบไหว้กับท่านนี่
ยิ่งแนบสนิท ...นี่คือผู้มีธรรม ท่านอยู่ด้วยความเสมอตัวหรือถ่อมตัวอยู่ตลอด
ไม่โอ้อวด ไม่แอบอ้างพระพุทธเจ้า ว่าเสมอเท่าพระพุทธเจ้า...นี่ยังไม่เคยเลย ไม่มีหรอก
แล้วแต่ละท่าน แต่ละองค์ ไม่เคยสอนอะไรที่มันพ้นจากกายใจเลย
บอกให้เลย ...นี่
จนท่านเรียกว่าเป็นธรรมเนียม จนท่านเรียกว่าเป็นอริยประเพณีแล้ว
ท่านรักษากายรักษาศีลนี่
จนเป็นอริยศีลแล้ว ...ไม่ใช่แอบอ้างศีลมาเป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ท่านรักษาศีลเพื่อเป็นเครื่องมือทำลายล้างกิเลสตัวท่านเอง
ไม่ใช่เอาศีลเป็นเครื่องมือทำลายล้างกิเลสคนอื่น
ไม่ใช่เอา ๑๕๐ มาอะไรบ้าบอคอแตก
โยม – โยมเคยฟังครั้งนึง ตอนสมัยที่ใหม่ๆ
โยมมีความรู้สึกเหมือนท่านอ่านหนังสือให้ฟัง ตอนท่านเทศน์
พระอาจารย์ – มันก็ธรรมดา ตามพุทธวัจนะ
โยม – โยมก็ไม่เข้าใจ แต่ก็มีคนถามคำถามอะไรอย่างนี้
พระอาจารย์ – มันไม่ใช่เป็นธรรมที่มาจากใจที่รู้จริงรู้แจ้ง
แต่เป็นธรรมที่มาจากวัจนะ ...ก็ถูกไม่ใช่ผิดนะ
แต่มันไม่ได้เป็นธรรมที่มาจากใจที่แท้จริง
ที่เห็นจริง ที่รู้จริง ที่เข้าถึงจริง ...เพราะนั้นอรรถรสมันไม่เหมือนกัน
ยังไงก็ไม่เหมือน
โยม – ค่ะ ใช่ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
พระอาจารย์ – เอ้า พอ ...ไป ไปตั้งเนื้อตั้งตัว
ไปตั้งกายตั้งใจ ...ถ้าตั้งไม่ได้มันก็ล้ม ถ้าตั้งได้ ตั้งกายได้ มันก็ตั้งใจได้ ...ใจก็ตั้งกายก็ตั้ง
ต้องคอยตั้งอยู่ตลอด เพราะมันจะล้มอยู่เสมอ
โยม – ใช่ฮ่ะ ต้องฝืนต้องทวน ตลอดเลยฮ่ะ
พระอาจารย์ – อย่าไปทำเป็นตุ๊กตาล้มลุก ...แต่เอาเหอะ ล้ม-ลุก...ก็ยังดีกว่าล้มแล้วไม่ลุก
..................................