พระอาจารย์
16/24 (570928C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
28 กันยายน 2557
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 16/24 ช่วง 1
เห็นมั้ย กว่าจะผ่านพ้นเนยยะขึ้นมา ...ลองนึกถึงว่ากอบัว...เราก็นึกว่าน้ำตื้นมั้ง ตามภาพที่เขาเขียน ตามพุทธประวัติน่ะ
น้ำก็แค่นี้ มันก็ขึ้นมาง่าย มองภาพว่าง่าย
แต่เหง้าบัวของพวกเรานี่
ให้นึกภาพอยู่ถึงก้นมหาสมุทร ...แล้วกำลังอยู่ใน...เนยยะ...ผู้ปฏิบัตินี่อยู่ในขั้นตอนที่กำลังบ่มอินทรีย์ บ่มศีลสมาธิปัญญา
คือต้องเป็นผู้ที่พากเพียร ...เนยยะนี่คือผู้ที่พากเพียร...อยู่ตรงไหน ...กำลังพากเพียรหาทางแห่งมรรค กำลังที่จะพากเพียรเดินไปบนมรรค
ท่านเรียกว่าเนยยะหมดเลย
เพราะนั้นมันยังอยู่ในอาการที่ว่า...ลูกผีลูกคน ผีบ้างคนบ้าง...ผีมากกว่าคน ...คือฝั่งความคิดฝั่งอารมณ์ เรียกว่าผีหมด ฝั่งคนคือฝั่งกาย ฝั่งธาตุขันธ์ ธาตุมหาภูตรูป นี่ฝั่งคน
ซึ่งส่วนมากไม่ใช่ครึ่งผีครึ่งคน...มันผีมากกว่าคน ...เป็นสัมภเวสี ล่องลอยไปตามอารมณ์
กิเลสน้อยใหญ่ ในภพที่เวิ้งว้าง ไม่มีที่สิ้นสุด ...นี่คือความมืดระหว่างเนยยะ
กว่าที่จะไปเจอถึงแสงของพระอาทิตย์ที่ชั้นพื้นผิว
แล้วก็มุ่งตรงต่อแสงพระอาทิตย์...คือเหนือน้ำเลยนั้นน่ะ ...นั่นคือเนยยะขั้นสูงแล้ว
จนถึงเรียกว่าอุคฆฏิตัญญู ...ถึงตรงจุดนั้นเรียกว่าไม่หวนคืนแล้ว ไม่ลงมาสู่เหง้าแล้ว ...นี่คืออริยะขั้นสูง
หรือกำลังจะเป็นไปสู่ความเป็นอริยะขั้นสูง
กว่าจะพ้นน้ำ ได้แดด ...ก็ยังแตกออกมาเป็นใบบ้าง เป็นกอบัวบ้าง มันยังไม่ใช่จะได้ทีเดียวเลย ...บัวก็ยังไม่บาน เพราะมันออกมาทีไรเป็นใบทุกทีเลย
แต่ก็อาศัยใบบัวนั่นแหละ...เป็นกอบัวที่สะสมอาหารหล่อเลี้ยงเหง้า จนเติบโตแข็งแรงถึงขึ้นมาเป็นดอก
แล้วก็ผลิดอกบานออกมาเป็นดอกบัว...คือหลุดพ้น
นี่ ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้นะ ...พระพุทธเจ้าท่านใช้อรรถ พยัญชนะ เปรียบเทียบความเป็นไปของเหล่าสรรพสัตว์ผู้ปฏิบัติธรรม
ส่วนไอ้ที่ล้มหายตายจากด้วยเต่าปูปลาหอยกุ้ง...นี่ ไม่ได้พูดถึงแมลงภู่หรือนกกานะ เพราะไอ้นั่นไม่อยู่ในน้ำแล้ว ...ไอ้นี่ที่หอยปูปลา มันโฉบเฉี่ยวกินไประหว่างผู้ปฏิบัตินี่แหละ...ขั้นตอนของเนยยะนี่แหละ
มันมาล่อมาลวง มาหลอกมาหลอน มาให้มี มาให้เป็น มาให้ไปจริงจัง
มาให้เกิดความสับสนลังเลว่า...กูจะขึ้นไปหาพระอาทิตย์หรือกูจะดำดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรต่อดี
ก็ต้องอาศัยธรรมะพุทธะบ้าง สังฆะบ้าง
นี่คอยเอามาดาม ว่า...เฮ้ย ขึ้นๆๆ ...บางทีก็ใช้ไม้ดาม บางทีก็ใช้เหล็กดาม
บางทีก็เอาคำพูดดาม บางทีก็เอาคำชมดาม บางทีก็เอาคำด่าดาม
เพื่อให้มันตรงขึ้นไปข้างบนซะ
ตรงไปหาแสงอาทิตย์ นี่ ...ถ้าหนักหนาสาหัสก็เรียกว่าต้องเอาเหล็กหนาๆ ทุบ
ตี...ให้มันตรงขึ้นมา ...คือส่วนมากด่า...ไม่ชมน่ะ กิเลสมันร้ายแรง
ชมมันยิ่งได้ใจ
ก็ด่าตบตีกิเลส มันถึงจะรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาได้บ้าง...แค่ได้บ้างนะ ...กว่าที่มันจะรู้เนื้อรู้ตัวได้ด้วยตัวของมันเองนี่ เรียกว่าต้องใช้เวล่ำเวลากันพอสมควร
แต่อย่าท้อถอย อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดปฏิบัติ ...ให้มุ่งมั่นอยู่ในศีลสมาธิปัญญา เอาว่า...จวบจนวาระสุดท้ายแห่งความตาย
แค่นั้นน่ะพอแล้ว ...ตั้งสัจจะไว้แค่นั้น
"ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่
ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอายุขัย...จะไม่ทิ้งการภาวนารู้ตัวเลย" นี่ ต้องเอาสัจจะอย่างแรงอย่างหนัก
ประจำจิตประจำใจ ประจำกิเลส ประจำกายไว้
ไม่อย่างนั้นน่ะ กิเลสคาบไปกินหมด ...เรื่องราวน้อยใหญ่ในโลก
ในธรรมในโลกที่เขาสรรสร้างขึ้นมา มันล้วนแล้วแต่หอมหวนหอมหวานยั่วยวนใจ
มันน่าลิ้มลองหมดเลย น่าเข้าไปซ้องเสพข้องแวะหมดเลย น่าเข้าไปค้นหาหมดเลย มันล่อหูล่อตา ล่อเรา ล่อความอยาก-ความไม่อยากของเราอยู่ตลอดเวลา
กว่าจะรอดจากอารมณ์เหล่านี้...ที่มันดักโฉบกินอยู่ พาไปลงตกร่องปล่องชิ้นกับมันอยู่ นี่ ...จะต้องมีสัจจะอย่างแรงกล้าทีเดียวในการปฏิบัติ
ไม่ใช่ไปนั่งข้ามวันข้ามคืน
ไม่ใช่ไปเดินจงกรมปฏิบัติข้ามวันข้ามคืน ...แต่ว่าสัจจะที่จะรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอนั่นเอง ไม่ทิ้งการรู้เนื้อรู้ตัวไป
ไม่ออกนอกเนื้อนอกตัวไป ไม่ห่างไกลจากการรู้ตัวไว้
ถ้ามันจำเป็นจะต้องห่างออกจากการรู้ตัว...ก็ให้ดึงจำกัดลิมิทเวลาว่าช่วงนี้แค่นี้พอแล้ว หมดวาระธุระนั้น กิจนั้น ภาระนั้น...ก็รีบกลับ
กลับบ้านเรา
อย่าไประหกระเหินเร่ร่อนเป็นสัมภเวสี
เดี๋ยวมันจะตกระกำลำบากอยู่ท่ามกลางความเป็นสัมภเวสีนั้น หมอผีมันจับลงหม้อไปถ่วงแล้วจะทำยังไง ...เห็นมั้ย ไปอยู่กับมันได้หรือ
นั่นน่ะคือภพ...มันจะไปดัก
แล้วก็ต้องไปเสวยภพนั้น ชาตินั้น...ทั้งอสุรกาย ทั้งเปรต ทั้งสัตว์นรก ทั้งสวรรค์เทวดาอินทร์พรหม ...พวกนี้เหมือนกับเป็นหม้อถ่วงสัมภเวสีให้มันไปค้างคาอยู่ตรงนั้น
เป็นภพเป็นชาติ เสวยภพเสวยชาติ ...แล้วแต่ละหม้อบางทีก็ไม่ใช่หม้อดิน มันเป็นหม้ออลูมิเนียม...โคตรจะนานเลย
กว่าที่หม้อมันจะผุพังแตกสลายไป
เสร็จแล้วเมื่อมันแตกสลาย ...ทุกหม้อที่มันขังเป็นสัมภเวสีผีร้าย มันขังไว้ ขังจิตขังใจไว้ให้ไปเกิดไปตายอยู่ในนั้น ...ท้ายที่สุดก็แตกแล้วก็กลับมาเป็นคน...เหมือนเดิม
เพราะคนหรือมนุษย์นี่คือภพที่เป็นกลาง
ในเหล่าสามภพ มันเป็นทางสามแพร่ง...ขึ้นสวรรค์ ลงนรก ไปพรหม...คือทางสามแพร่ง คนมันเป็นจุดเริ่มต้น จุดตั้งต้นของการเดินไปในภพ ก็ได้มาอาศัยภพมนุษย์เป็นบาทฐาน
เพราะนั้นเมื่อได้ความเป็นมนุษย์
ได้ธาตุได้ขันธ์นี้มา ได้กายได้ใจนี้มาแล้วนี่ ...ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมีอยู่
หาความรู้ หาความเห็น หาความเข้าใจ
ค้นคว้าความเป็นจริงในมันให้ได้มากที่สุด ...ให้เต็มสติ เต็มสมาธิ เต็มปัญญา
เต็มกำลังแห่งการปฏิบัติ
อย่าไปเต็มที่ อย่าไปจริงจังกับเรื่องราวใดๆ
ที่นอกเหนือจากศีลสมาธิปัญญา กายใจปัจจุบัน...แค่เนี้ย ไม่นาน ...ถึงจะข้ามชาติก็ไม่กี่ชาติหรอก
เพราะว่ากายก้อนนี้...กว้างคืบยาววาหนาศอก มันไม่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก
ที่จะต้องใช้อายุในการเรียนรู้กับมันจนว่า...จะรู้โดยตลอด
รู้โดยแจ้งนี่ต้องใช้เวลาเป็นอสงไขยล้านชาติเลย
พระพุทธเจ้า ท่านยังพูดไว้ว่า...เจ็ดวัน
เจ็ดเดือน เจ็ดปีเท่านั้นเอง ก็แจ้งจบหมดแล้วในกระบวนการแห่งกาย แห่งศีล
ด้วยความถ่องแท้ในกายในศีล
ว่าคืออะไร ความเป็นจริงอยู่แค่ไหน
มีความเป็นเรามั้ย ...สำหรับผู้ที่รักษาสติในกาย สติในปัจจุบันกาย อย่างเข้มงวดกวดขันนี่
ไม่นานจนข้ามเป็นหลายๆ ชาติเลย
แต่ไอ้ที่เผื่อไว้เพราะอะไร ...เพราะพวกเราไม่ได้เป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลจริง ....เหล่านี้ต่างหากคือมันข้าม...ข้ามกาลเวลาไปอีกหลาย ...จนข้ามโลกข้ามจักรวาล
จนหมดโลกหมดจักรวาล สร้างจักรวาลสร้างโลกขึ้นมาใหม่ ก็ยังไม่เต็มในศีลสมาธิปัญญาสักทีนึง
สักชาตินึงเลย ...เพราะไม่ใส่ใจขวนขวาย ไม่มุ่งมั่นจริงจัง
ไม่มีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ต่อศีลสมาธิปัญญา
โทษใครไม่ได้เลย โทษที่ตัวเจ้าของจิตกิเลสดวงนั้นน่ะ...ไม่มุ่งมั่น ไม่ใส่ใจ ไม่ขวนขวายในการปฏิบัติ ...ให้กิเลสมันนำหน้า ให้กิเลสมันออกหน้าออกตาอยู่ตลอด
จับไม่ได้ไล่ไม่ทันกิเลสหรอก
เอ้า ประมาณนี้แหละในข้อความ ...ถามมั้ย
ฟังหลายรอบแล้วนี่
โยม – ไม่มีครับ
พระอาจารย์ – รู้ตัว
จนกว่ามันจะหมดคำถาม ...มันจะหมดคำถามเพราะรู้ตัว
มันจะหมดสงสัยเพราะว่ามันรู้จนหมดความสงสัย ...วิธีการแก้ความสงสัยคือรู้ตัวเข้าไว้
แล้วจะหายสงสัยเอง
ที่หายสงสัยคือ...ไม่สงสัย นั่นแหละที่เรียกว่าหายสงสัย ...ไม่ใช่ว่าไปค้นหาจนหายสงสัย แต่การไม่สงสัยเลยคือการแก้ความสงสัย คืออย่าสงสัย
เมื่อไม่ให้สงสัย...ก็ต้องให้จิตมันอยู่ในที่ที่มันจะไม่สงสัย คือต้องมีที่อยู่ให้มัน ...ถ้าไม่มีที่ให้มันอยู่ในที่นี้ ...ในที่ศีลตั้งอยู่ กายตั้งอยู่นี่ ...จิตมันจะทำงาน
ซึ่งหน้าที่การงานของมันคือตั้งหน้าตั้งตาสงสัย ...“เอ๊ะ ออกไปนี่ฝนจะตกไหม” “เอ
ฝนที่บ้านตกรึเปล่า จะเปียกมากไหม” สงสัยมั้ย...สงสัย ...ถ้าออกนอกนี้ไปสงสัยหมดน่ะ
เพราะไม่รู้มันจะมีอะไร เกิดอะไร
มากหรือน้อย ใช่หรือไม่ เหมือนอย่างที่คิดไหม ...มันก็สงสัย
มันเป็นอยู่ท่ามกลางความสงสัยตลอด
ถ้าจิตออกนอกนี้ไป ...ไม่ใช่เฉพาะสงสัยในธรรม โลกกูก็สงสัย ความเป็นไปในโลกก็สงสัย...พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้จะเจออะไร
พรุ่งนี้จะเจอใคร
แล้วไอ้ใครผู้ที่กูจะเจอพรุ่งนี้น่ะ
มันจะทำอะไรกับกู มันจะดีกับกูหรือมันจะเลวกับกู...สงสัย ...ตราบใดที่ไม่อยู่ตรงนี้
จะไม่มีวันหมดสิ้นซึ่งความสงสัยเลย
เพราะฉะนั้น "รู้ตัว" นี่ ...หายสงสัย
หายสงสัยจนไม่อยากจะสงสัย จนไม่อยากจะรู้เห็นอะไรน่ะ จนไม่มีอะไรมีค่าสำคัญพอที่จะให้ออกไปรู้เห็นกับมันน่ะ
นั่นแหละเก็บเกี่ยวผลของศีลสมาธิปัญญาไป...จะได้ผลอย่างนั้น หายสงสัยเอง ...เอ้า เท่านี้
.................................