พระอาจารย์
16/21 (570926C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
26 กันยายน 2557
พระอาจารย์ – ถึงบอกว่าการปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนี้
มันเหมือนตาบอดคลำช้าง
รู้จักคนตาบอดคลำช้างมั้ย ...ไอ้คนหนึ่งจับได้ที่หาง
มันก็บอกว่าช้างนี่เป็นลักษณะแบบนี้ ไม่เป็นอย่างอื่นหรอก ...คนหนึ่งจับที่งา แตะโดนงา
มันก็บอกว่าช้างนี่จะต้องเป็นลักษณะนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น
แล้วไอ้คนที่จับโดนงา
กับไอ้ที่จับโดนขนหาง มันก็ชกต่อยกัน...ว่าช้างจะต้องเป็นขน
อีกคนก็ว่าช้างจะต้องเป็นแท่งๆ
ถ้าตราบใดที่มันยังไม่ลืมตาขึ้นมา แล้วเห็นทั่วทุกองคาพยพของช้าง ...ก็จะเห็นว่าทั้งหมดน่ะมันไม่ได้ผิดหรอก ...แต่มันไม่ถูก
มันยังไม่ถูกต้องตรงตามธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง
มันจึงเกิดการถกเถียงกัน ทิ่มแทงกันโดยธรรม อวดอ้างธรรมกัน เบ่งทับกัน
นี่เรายังงงอยู่เลย จะรักษาวินัย ๒๒๗
หรือจะรักษาวินัย ๑๕๐ ข้อดี (โยมหัวเราะกัน) ...มันทำให้กูงงนะนี่
อันไหนจะถูกกว่ากัน ๑๕๐
ตรงตามพุทธวัจนะ หรือ ๒๒๗ ตามที่วางกันมาตั้งแต่สมัยพระมหากัสสปะ ซึ่งนี่ก็สาวกนะ เป็นผู้สังคายนานะ ...จะตามพระกัสสปะหรือจะตามพุทธวัจนะดี
ไม่กระนั้นเลย ...เราก็มาตั้งอีกหนึ่งสำนัก (หัวเราะกัน) ...คือรักษาศีลเอก ...เอาข้อเดียวเลย เอากายเดียว เอากายหนึ่ง ...ไม่ต้องเถียงกันแล้ว
ผู้ชายก็มีหนึ่งกาย
ผู้หญิงก็มีหนึ่งกาย พระก็มีหนึ่งกาย พระอริยะก็ยังมีหนึ่งกาย แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังมีหนึ่งกายเนื้อ ...นี่ เถียงมั้ยล่ะ มันแตกต่างกันมั้ยล่ะ
นี่คือมีศีลเสมอกันมั้ยล่ะ เป็นศีลเอก เป็นเอกศีลมั้ย …ไม่ต้องพูด ๑๕๐ หรือ ๒๒๗ แล้ว หนึ่งนี่เสมอกันหมด ...แต่ถ้ายังถือ ๑๕๐ หรือ ๒๒๗ หรือ
๕ หรือ ๘ นี่ ยังไม่เสมอกันนะ
เพราะนั้นโยมจึงต้องนั่งต่ำกว่าเราอย่างนี้ ใช่มั้ย นี่คือธรรมเนียมนะ ...แต่ถ้าเราลงไปนั่งต่ำ ลงไปนั่งที่พื้น
แล้วโยมนั่งฟังเทศน์ข้างบนนี่ ...รู้สึกยังไงกันล่ะ
นี่ตามสมมุตินะ
นี่ตามสมมุติธรรมบัญญัติธรรม สมมุติศีลบัญญัติศีล มันมีคำว่าเหลื่อมล้ำสูงต่ำกัน ...แต่ถ้าพูดในสถานะความเป็นคนนี่ นั่งตรงไหนก็ได้ คนเหมือนกัน เสมอกัน
เพราะนั้น
ปล่อยให้มันเถียงกันไปจนเว็บแตก ก็ยังเข้าไม่ถึงศีลในองค์มรรค
ก็ยังไม่เข้าถึงศีลที่จะเป็นไปเพื่อเข้าไปสู่ความรู้ความเห็นต่อกายที่แท้จริงเลย
เห็นมั้ยว่าเป้าประสงค์
วัตถุประสงค์แห่งศีลนี่ เป้าหมายใหญ่ใจความเพื่ออะไร ...เพื่อให้รู้จริง รู้จัก
รู้แจ้ง กับความเป็นกายที่แท้จริง...นี่คือศีลแม่บท นี่ที่ท่านเรียกว่าหัวใจของศีล
ถ้าให้จิตนี่มันมารักษาศีลโดยการรักษาความเป็นไปของกาย
ความปรากฏขึ้นของกาย ไม่ให้มันคลาดเคลื่อนจากความเป็นไปของกาย
การปรากฏขึ้นของกายในปัจจุบันนี่
จิตมันจะไปล่วงเกินใครได้
จิตมันจะไปเบียดเบียนใครได้...ทั้งด้วยความคิด ด้วยความกระทำในความคิด ตามความคิด
ด้วยการพูดตามที่มันคิด ถ้าจิตมันรักษากาย รู้อยู่เห็นอยู่จำเพาะกายนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ถือศีลตัวนี้อย่างเคร่งครัดนี่
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียน ...หรือถึงแม้จะรักษาไม่ได้
แต่มีความมุ่งมั่นที่จะเพียรเพ่งรักษาศีลตัวกายตัวนี้ไว้นี่
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่กำลังจะออกจากความเบียดเบียนตนและสัตว์โลก ...เป็นผู้ที่กำลังเพียรพยายามที่จะรักษาศีลเพื่อไม่ให้จิตไปก่อความเศร้าหมอง
เพราะนั้นถ้าให้...ฝั่ง ๑๕๐ ฝั่ง ๒๒๗
ฝั่ง ๕, ๘, ๑๐ เหล่านี้มันล้มซะ แล้วให้เพียรมารักษาศีลหนึ่งศีลเอกตัวนี้ ...โลกนี่จะน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
โลกนี้ มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้
จะอยู่ไปด้วยความสันติ...ถ้าทุกคนมาคร่ำเคร่งอยู่ในศีลข้อเดียวนี้แหละ
โดยไม่ให้จิตมันไปข้องแวะเกาะเกี่ยวกับเรื่องราว
การกระทำคำพูดของสัตว์บุคคลอื่นเลยนี่
พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า
ผู้ใดรักษาศีล ผู้นั้นจิตไม่เศร้าหมอง ...แต่ที่มันรักษากันแบบ..."ต้อง ๑๕๐" หรือ "ต้อง ๒๒๗" นี่ มันยังทะเลาะกันแทบโลกแตกนี่หือ ...มันศีลของพระพุทธเจ้าองค์ไหนวะเนี่ย
อย่ากระนั้นเลย เราก็ตั้งกับศีลเอกศีลหนึ่งนี่ ... ศีลตัวนี้...ที่ให้คร่ำเคร่งรักษานี่...เป็นประโยชน์แก่ตัวเองอย่างยิ่ง ...และเมื่อเอาไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้างด้วย
ไปที่ไหน อยู่ที่ไหน ก็เป็นที่นับหน้าถือตายอมรับ ไปด้วยความสงบ
จากมาก็จากมาด้วยความสงบ ไม่ติดค้าง ไม่ข้องคากับอะไร สิ่งใด บุคคลใด ...จึงเรียกว่าสุคะโตในระดับหนึ่ง
รู้จักสุคะโตมั้ย ...เป็นผู้ไปก็ดี มาก็ดี ...ไม่ใช่เป็นผู้ไปก็ร้าย อยู่ก็ร้าย
กลับมาแล้วยังร้ายยิ่งกว่าอีก ...ไอ้นี่ไม่เรียกว่าสุคะโต เรียกว่าทุกขโต
ไปที่ไหนก็ก่อให้เกิดทุกข์ในสังคมนั้นๆ ชุมชนนั้นๆ
อยู่ก็เป็นทุกข์กับสังคม หน่วยงาน
หมู่ชนนั้นๆ ...มันถูกไล่ออกไปแล้วจากสังคม มันยังทิ้งไว้เป็นสัญญาจดจำแบบ...เป็นสิบปี กูยังเคียดมันไม่หายเลย นี่ อย่างนี้คือผู้ไม่มีศีลหรือทุศีล
เพราะนั้นการปฏิบัติ...ถ้าไม่มาเริ่มต้นที่รักษาศีลให้มั่นคง
ให้แข็งแกร่ง และให้เข้าใจถ่องแท้ในนัยยะที่แท้จริงของศีลแล้วนี่
ปฏิบัติไปจนผมหงอกฟันหักตาฟาง จนลงหลุมลงเมรุ ...ก็ยังไม่เข้าใจถึงมรรคถึงผล
อย่าประมาทกายนี้นะ...กว้างคืบยาววาหนาศอก...เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรม
เป็นธรรมล้วนๆ เลย บรรจุเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมล้วนๆ เลย
แต่พวกเรามาอยู่กับก้อนธาตุก้อนศีลก้อนธรรมนี้...อย่างละเลยในธรรม
มองก้าวข้ามธรรมนี้ไป ...กลับไปค้นคว้าไขว่ค้นตะกายดินตะกายดาวที่ไหนกัน
นี่เป็นของดี ของถูก ของชอบ ที่ได้มาพร้อมกับการเกิด ได้มาพร้อมกับตัว ได้มาพร้อมกับกาย ได้มาพร้อมกับธรรม ...แต่กลับไม่ใส่ใจไม่สนใจ
ความเป็นไปแห่งธรรมนี้ การปรากฏขึ้นแห่งธรรมนี้
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเลยในศีลและธรรม
เป็นผู้ที่ห่างศีลห่างธรรม ...จนเป็นผู้ห่างไกล ห่างจนไกลจากศีลและห่างไกลจากธรรม
ต่อให้จะไปปฏิบัติที่ไหน
ป่าเขาลำเนาไพร ที่ลึกลับซับซ้อนขนาดไหน...ถ้าไปปฏิบัติโดยที่ไม่รู้อยู่กับตัว ไม่รู้อยู่กับใจปัจจุบันนั้นๆ
มันก็ไม่มีค่าเหมือนกับรู้ตัวอยู่ที่บ้าน
กายใจนี่ เป็นของที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลก ...เป็นขุมทรัพย์ เป็นบ่อทรัพย์แห่งธรรม ที่ให้ขุดให้ค้น
เพื่อให้เกิดความรู้ในธรรม ความเห็นในธรรมขึ้นมา
แต่พวกเรากลับอยู่กับมัน ใช้กับมัน
อาศัยกับมัน ปล่อยปละละเลยในมัน จนมันเปื่อย จนมันแก่ จนมันชรา จนมันหมดสภาพ
จนมันผุพัง จนมันแตกจากกาย โดยที่ไม่ได้ใช้คุณค่าในธรรมกับมันเลย
น่าเสียดายในการเกิดมาแต่ละครั้ง ...แล้วจะยิ่งน่าเสียดายกว่า...สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วยังไปค้นหาในที่อื่นว่าเป็นธรรมที่สูงกว่ายิ่งกว่ากายนี้
มันยังมัวลังเลสงสัย ยังขุ่นข้องกังวลใจ
ยังไม่แน่ใจว่า...รู้อย่างนี้ รู้แค่นี้ จะไปนิพพานได้อย่างไร ...นี่มากี่ครั้ง ฟังกี่หน
พูดจนปากฉีกถึงรูหูแล้วนี่ว่า...ไม่มีที่อื่นเลย
ต่อให้เป็นอีกกี่สิบปีมาฟัง
เราก็จะพูดเรื่องเก่านี่ …เพราะมันไม่มีทางอื่น
มันมีทางเดียว มันเป็นช่องทางเดียว...ที่เล็กๆ ซะด้วย ...ไอ้ที่มันมีหลายช่องทางนั่นน่ะจิตว่าเอาทั้งนั้น
แต่ทางเดินของมรรคก็คือกายใจนี่ มันเป็นทางเดินของมรรคที่จำเพาะอยู่ในตัวของมันเลย ...แล้วทุกคนน่ะมีทางนี้จำเพาะมาพร้อมกับการเกิดแล้ว...แต่มันไม่เลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้
ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ...ทางน่ะมี แต่กูไม่เดิน กูจะไปเดินตามทางของกิเลส ...กิเลสคืออะไร ...ถ้าพูดถึงกิเลสก็น่ากลัว มันเป็นไปตามทางของจิตปรุงแต่งนั่นแหละ
เพราะนั้นไอ้ทางของจิตที่มันปรุง
เป็นความคิด เป็นอารมณ์ เป็นความเห็น เป็นอดีต-อนาคตนี่ ...ท่านเรียกว่านอกลู่นอกทาง
ออกนอกทาง มันไม่เป็นไปเพื่ออยู่บนทางเลย ...ทั้งๆ ที่ว่าทางนี้มีอยู่
ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติ มันก็จะอ้างว่าออกไปหามรรค แน่ะ ...มรรคของมันน่ะสิ มรรคของ “เรา” มรรคของมัน นั่น
ก็มรรคมันมีอยู่ตรงนี้ ...มันจะไปหามรรคที่ไหน หาไปจนตายก็ไม่เจอมรรค ...ทั้งที่มันนั่งทับมรรคอยู่นี่มาตั้งแต่เกิด มันนั่งทับศีลสมาธิปัญญามาตั้งแต่เกิดจนตาย ...แต่ไม่รู้จัก
เพราะถูกคนรอบข้างนี่ไซโค เป่าหู
สีซอ...ให้นกแก้วนกขุนทองฟัง ...คือถ้าเป็นควายมันไม่ฟัง กายนี่เหมือนควาย สีซอให้ฟัง
กายก็คือควาย มันไม่สนใจอะไร ...แต่นี่คือสีซอให้นกแก้วนกขุนทองท่องขานแบบ..."แก้วขาๆ"
"พุทโธๆๆๆ" ...ไม่รู้พุทโธไปทำไม
เขาบอกว่าโธแล้วจะดีเอง โธไปทำไมยังไม่รู้เลย โธแล้วจะได้อะไร
"สงบๆๆ" ....สงบไปเถอะ สงบแล้วได้อะไร
ไปไม่ถูกหรอก สงบแล้วจะไปไหนต่อ...ไปต่อไม่เป็น
"ดูจิตๆๆ" ...ดูไปทำไม ดูแล้วได้อะไร
มันจะไปถึงไหน ...ไม่รู้น่ะ อาจารย์สั่งว่าดี เดี๋ยวก็ดีเอง อย่าถามมาก
นี่มันจะกลายเป็นตาบอดคลำช้างไหม ...แต่ถ้ามาถามเรา...อ่ะ
ถามมาสิ ดูกายไปทำไม จะตอบให้ฟัง ...ถามเด่ะ ถามดิ ...ทำไมไม่ถามอ่ะ หรือไม่กล้าถาม
(หัวเราะกัน)
...............................