วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/36 (2)


พระอาจารย์
16/36 (571024D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
24 ตุลาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 16/36  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ถ้าตลอดวันตลอดเวลา ก้มหน้างุดๆๆๆ อยู่ในก้อนกองกายนี้ ...ภาวนาอย่าท้อถอย นั่นแหละเป็นเคล็ดลับ เป็นทางลัดและก็เป็นทางตรง 

ถามว่าภาวนาจะเร็วที่สุด...คือภาวนาไม่ท้อถอย ไม่มีอะไรลัดกว่านี้แล้ว ...อย่าหาวิธีอื่น ไปหกคะเมนตีลังกาหาวิธี ด้วยวิธีการบ้าบอคอแตก...ไม่มีเร็วกว่านี้แล้ว

คือการภาวนาไม่ท้อถอย ภาวนาแบบไม่หยุดหย่อน จึงจะเอาชนะกิเลสได้บ้าง ให้เห็นกันจะจะ นี่

เวลามันเห็นการละการวางกิเลส หรือการละการวางอารมณ์ หรือการถอดถอนอารมณ์ ออกจากอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างชัดเจนจะจะนี่...มันเกิดกำลังใจ

เห็นปุ๊บ..ร่วง วาบหายไป อย่างนี้ ...ซึ่งมันไม่ได้เห็นทุกครั้งทุกคราวไปหรอกนะ แต่แค่นี้มันก็เกิดกำลังแล้ว ใส่คะแนนให้ตัวเองได้บ้างว่ากูมาถูกทางแล้ว

แต่อย่ามัวนั่งรอนั่งคอย หรือว่าอิ่มเอิบซาบซ่านกับผลนั้นๆ ...ก็กลับมาเหมือนเดิมแบบเดิม นั่งรู้ยืนรู้ เดินรู้ อยู่กับตัว ตรวจสอบความเป็นอากัปกริยา บนกลางท้ายหลังของตัวเอง

มันเป็นอย่างไร มันรู้สึกอย่างไร วนไปเวียนมา วนซ้ายวนขวา วนหน้าวนหลัง วนอยู่ในนี้ ...เผลอบ้างลืมบ้าง เอาใหม่ ไม่ไปเนิ่นช้า รอคอย ...รู้เห็นไป ต่อเนื่องไป สม่ำเสมอไป บ่อยๆ ไป

จิตมันก็จะได้รับการอบรมให้อยู่ในกรอบแห่งศีล ในกรอบแห่งปัจจุบัน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความรู้ในธรรมขึ้นมาตามลำดับลำดา ...ไม่มีใครช่วยได้เลย นอกจากตัวเอง อัตตาหิ อัตโน นาโถ

ถ้าพากเพียรอยู่ภายในอย่างนี้ ความหมายมั่นจริงจังในโลกภายนอก ในบุคคลภายนอก จะน้อยลงไปเองให้เห็นน่ะ ...ไม่ค่อยเอาธุระ ไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราวกับอะไร สิ่งใด และในแง่มุมใด

มันก็ชัดเจนในตัวเราของเรามากขึ้นเองน่ะ ว่าอะไรเป็นตัวเรา อะไรไม่ใช่ตัวเรา หรืออะไรไม่มีตัวเราเลย หรือหาตัวเราไม่ได้เลยในที่ใดที่หนึ่ง ...ก็ชัดเจนไปเองน่ะ

มีแต่เจอตรงไหนก็เจอแต่กายธาตุกายขันธ์ กายธาตุกายธรรมล้วนๆ หยั่งตรงไหนก็เจอแต่เวทนาธาตุเวทนาธรรมล้วน ไม่เห็นมีตรงไหนเป็นกายเรา เป็นเวทนาเราเลย แม้แต่น้อยนิดหนึ่ง

ดูแล้วดูอีก เห็นแล้วเห็นอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนี้ มันก็คลี่คลายจากความเป็นเราไป...ด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริงของกายมากขึ้นไปตามลำดับเท่านั้น

เพราะนั้นการภาวนานี่ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ออกนอกเหนือกายใจปัจจุบันเลย ...ถ้าออกนอกปัจจุบันกายนี้เมื่อไหร่ ออกนอกใจรู้เห็นนี้เมื่อไหร่  เมื่อนั้นจะเกิดการเข้าไปหมุนวนในขันธ์ทั้งห้า

มันจะเกิดการเข้าไปปรุงแต่งขันธ์ทั้งห้าขึ้นมารองรับความเป็นเรา แล้วมันจะเกิดการเข้าไปจริงจังในขันธ์ทั้งห้า ว่าเป็นเราของเราอย่างยิ่ง ...นี่ก็เรียกว่าถูกกิเลสหลอกเต็มตัวเต็มใจเลย

ว่ามีขันธ์ห้า ว่าเป็นขันธ์ห้าของเรา ทั้งไกลทั้งใกล้ ทั้งดีทั้งเลว ว่าเป็นขันธ์ห้าของคนนั้นของคนนี้ ว่าขันธ์ห้าคนนั้นคนนี้ดีเลวกว่ากัน ...จริงจังหมดเลย

แต่เมื่อใดยืนหยัดตั้งมั่นอยู่บนกายใจ ตั้งมั่นอยู่บนฐานกายฐานใจ ฐานศีลสมาธินี้ ไม่มีจิตไปสร้างขันธ์ห้า ไม่มีการก่อเกิดขันธ์ห้าขึ้นมา บนกายบนใจ

ตรงที่กายใจปรากฏ อยู่ที่กายใจปรากฏ จึงเป็นจุดที่เรียกว่าปราศจากขันธ์ห้า ละวางขันธ์ห้า ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า...ว่านี้เป็นเราของเรา

จนมันเห็นไปเองว่า ขันธ์ห้านี้เป็นทุกข์  มีขันธ์ห้าขึ้นมาเมื่อไหร่..เป็นทุกข์ ดำรงคงอยู่ในขันธ์ห้าเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์ ...มีขันธ์ห้ามากขึ้น หลายเรื่องขึ้น หลายคนขึ้น หลายอนาคตกาล ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

จิตที่มีปัญญารู้เห็นเช่นนั้น จึงยินยอมพร้อมใจในการที่จะละวางขันธ์ห้าโดยไม่ต้องบังคับ จึงยินยอมพร้อมใจที่จะดำรงคงอยู่เพียงแค่ศีลสมาธิปัญญาถ่ายเดียว คือกายใจ

แล้วจะอยู่ด้วยการเฝ้าระมัดระวัง ไม่ให้จิตผู้ไม่รู้หรืออวิชชานี่ มันสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาครอบงำปิดบังกายใจอีกต่อไป ...จนกว่าจะเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้

ว่าขันธ์ห้าคืออะไร มาจากไหน  กายใจคืออะไร มาจากไหน ...สมควรละ สมควรเลิก สมควรรู้ อย่างไรกับอะไร อย่างชัดเจนชัดแจ้ง...ว่าขันธ์ห้านี่ต้องละ ว่ากายใจนี่ต้องรู้ไว้

ไม่ต้องให้ใครมาพร่ำบ่นบอกสอนเลย มันประจักษ์แจ้งแก่ผู้ปฏิบัติเอง มีขันธ์ห้าเมื่อไหร่เป็นทุกข์ของเราทันที ทั้งทุกข์ในอดีต ทั้งทุกข์ในปัจจุบัน ทั้งทุกข์ในอนาคต

แม้แต่เรานั่งอยู่ในปัจจุบัน ก็มีขันธ์ห้าแอบคลุมปัจจุบันกายใจ จึงมีทุกข์ในระหว่างนั่งของเรา ...แต่เมื่อใดเพิกถอนขันธ์ห้าออก เจือจางขันธ์ห้าออกได้บ้าง ก็จะเห็นปัจจุบันกายใจที่ไม่เป็นทุกข์แก่เรา ของเรา

ไม่ใช่การปฏิบัติไปสอนให้ขุดค้นอยู่บนฐานที่ไม่มีความเป็นจริงอยู่ในนั้นเลย ...ท่านให้ขุดค้นอยู่ในฐานที่ตั้งแห่งความเป็นจริง ค้นคว้าอยู่บนความเป็นจริง

จำแนกแยกธาตุ แยกขันธ์ตามความเป็นจริง ...ธาตุส่วนธาตุ ขันธ์ส่วนขันธ์  ไม่ปะปน ไม่ปนเปื้อนกัน  ไม่สับสนในธาตุในขันธ์ว่าเป็นอันเดียวกัน

กายส่วนกาย รูปส่วนรูป ไม่ใช่อันเดียวกัน  เวทนาสัญญาสังขารก็เป็นขันธ์ ไม่ใช่กายใจ ...กายใจเป็นธาตุ มหาภูตรูปเป็นธาตุกาย ใจเป็นธาตุรู้ ธาตุส่วนธาตุ ขันธ์ส่วนขันธ์

แต่กิเลสที่ดื้อด้านและโง่เขลา มันกลับรวมธาตุรวมขันธ์เป็นอันเดียวกันว่าทั้งหมดนี้คือเราอย่างหน้าด้านๆ  แล้วก็จริงจังมั่นหมายในธาตุขันธ์นี้ว่าเป็นเราอย่างโง่เขลา

ไม่รู้จักค้นคว้าหาความเป็นจริงของกาย ของธาตุ ของขันธ์ ว่าความเป็นจริงของแต่ละอย่างมันเป็นอะไรกันแน่ ...เนี่ย ปัญญามันจะไปเกิดยังไง

 ความรู้แจ้งรู้จริง ทั้งในฝั่งโลกฝั่งขันธ์ ฝั่งกายฝั่งใจ ฝั่งศีลสมาธิปัญญา ฝั่งกิเลสความปรุงแต่ง ฝั่งความไม่ปรุงแต่ง ...ไม่เข้าใจอะไร ไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ทั้งโดยปัจจยาการความสืบเนื่อง ทั้งโดยความเป็นอิสรภาพแห่งธรรม ...นี่ ปัญญามันจะเกิดยังไง ก็ได้แต่ปัญญาคิดๆ นึกๆ เทียบเคียงคาดเดา ...ปัญญาเทียบเคียงคาดเดานี่แก้กิเลส ละกิเลสไม่ได้ ฆ่ากิเลสไม่ตาย

การปฏิบัติก็อยู่แค่นั่งรู้ ยืนรู้ เดินรู้ กายทำอะไรรู้ แม้กระทั่งกายไม่ได้ทำอะไรก็ต้องรู้ ไม่ปล่อยเลย ไม่ปล่อยมือออกจากกายนี้เลย สติจะต้องตามติดตามจับทุกฝีก้าว ทุกการก้าวเดินของความเป็นไปในกาย

ไม่ให้มีช่องว่าง ให้จิตเคลื่อนเลื่อนออกนอกกายนี้ได้ ไม่เปิดโอกาสให้โอกาสมันปรุงแต่งขันธ์ขึ้นมาล่อ หลอกลวง ว่านี้เป็นเราที่ดีกว่า ว่านี้เป็นเขาที่ร้ายกว่า ถูกกว่าผิดกว่า อะไรก็ตาม

ปิดประตูตีแมว...แมวคือกิเลส ไม่ให้มันอ้าปากวาดลวดลายมือเท้าออกมาเลย ...เครียดก็เครียดล่ะวะ เครียดเพราะการฆ่ากิเลส เครียดไป สบายเพราะใช้กิเลสตามกิเลส อย่าทำ

เพราะมันทำจนเคยตัวแล้ว ทำจนเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็ถือกงจักรมาไว้เหนือหัวว่าเป็นของเย็น เอาของร้อนมาทูนหัวไว้นี่ อาบกินแต่ของร้อนๆ เผ็ดๆ แสบๆ ...ความไม่รู้ทั้งนั้น

ภาวนาอยู่ในที่อันเดียว ผลมันจะปรากฏไปเองน่ะ ...อย่าเนิ่นช้า มัวแต่คิดมัวแต่สงสัย มัวแต่ไปหาความเป็นจริงตามบัญญัติตามภาษา ตีความว่าความกันไปมา

มานั่งอ่านเขียนเรียนกาย กายนั่ง กายนอน กายยืน กายเดิน ยังมีคุณค่าเสียมากกว่า ...ให้ค่าให้ความสำคัญกับการภาวนาบนเส้นทางนี้ มากกว่าจะไปหาความรู้จากการอ่านการฟัง 

หรือการถามจากผู้รู้..วงเล็บ..ไม่จริง ...ซึ่งเยอะมาก ไอ้ผู้รู้ที่ไม่จริงนี่ จะสร้างความสับสนในธรรม เกิดความคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติที่ให้ตรงต่อธรรม...ต้องระวัง

รู้ไป นั่งนอนยืนเดิน จนกว่าจิตมันจะเงียบ ไม่หือไม่อือเลย เงียบ ว่าง...ว่างจากความคิดนึกปรุงแต่ง ว่างจากอารมณ์ ว่างจากอดีตอนาคต จิตว่างเงียบไปหมด 

เหลือแต่กายโด่ๆ ใจโด่ๆ เป็นเสาหลักอยู่อย่างนั้นน่ะ เผชิญหน้ากันอยู่ตลอดเวลา...คู่กัน ตีคู่กันกายใจ

นั่นแหละผู้ทรงศีลสมาธิปัญญา แล้วก็พยายามทรงศีลสมาธิปัญญาไว้ อย่างเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ...เข้มงวดกวดขัน ไม่ให้ขาดตกบกพร่องไปเลย

ความรู้ในมรรคผลในนิพพาน ก็เกิดอยู่ท่ามกลางศีลสมาธิปัญญานั่นเอง ไม่ต้องไปค้นคว้าที่อื่นเลย

เอ้า เอาแล้ว ...ไปทำกัน ไปรู้ตัว ไปอยู่กับตัว ไปผูกจิตให้อยู่กับเนื้อกับตัวให้ได้ ให้จิตมันตายอยู่ภายในนั่นแหละ


....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น