วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/32 (2)


พระอาจารย์
16/32 (571017B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
17 ตุลาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 16/32  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นั่นแหละคือการเข้าไปวิ่งวนในขันธ์ห้าโดยไม่รู้เลยว่า มันไม่ใช่เป็นการพิจารณาขันธ์ห้า ไม่ได้เป็นการเลิกละขันธ์ห้าเลย

แต่มันกลายเป็นวิ่งวนอยู่ในขันธ์ห้า...โดยไม่รู้ตัวว่า ตัวเราน่ะปล่อยให้ขันธ์ห้าเกิด ไม่ได้ทำลายขันธ์ห้า ไม่ได้ละขันธ์ห้า ไม่ได้เพิกถอนขันธ์ห้าเลย

จึงบอกว่าออกจากกายออกจากศีลเมื่อไหร่นี่ มึนตึ้บ งงเต๊ก บอกให้ ...ธรรมที่ได้ ที่เข้าใจน่ะ สับสน ตีกันเละ ไม่เหมือนกันสักคน ไปนั่งถามดูลูกศิษย์ ไม่เหมือนกันสักคนเลย ดูจิต

แต่ละคนสภาวะบ้าบออะไรไม่รู้ ไม่เคยเห็น เกิดมากูไม่เคยเห็นน่ะ ...นี่คงไปฟังตอบคำถามมาล่ะสิ ไอ้คนฟังก็เคลิบเคลิ้มไปหมดแหละ โห โคตรเก่งเลย ดูยังไงวะ กูยังไม่เห็นเลย ละเอียดโคตรละเอียดเลย

เพ้อเจ้อ จิตเพ้อเจ้อ แล้วก็ไปดูความเพ้อเจ้อของจิต แล้วพอเห็นอะไรที่มันเพ้อเจ้อมหัศจรรย์เกิน ก็โอ้โห คนนี้มันสติละเอียดมากเลย เห็นความละเอียดมากเลยของจิต 

ยิ่งเห็นความละเอียดมากของจิต มันก็ว่ายิ่งเก่งน่ะ ...ไม่รู้รึไง มันวนเข้าไปในกระแสขันธ์แล้วน่ะ เนี่ย คือความที่ว่าปรามาสศีลปรามาสกาย นะ 

พอบอกให้กลับมารู้กายตรงๆ ตรงนั้น ไม่เอา ไม่มีใครเอาเลย ...อย่างนี้ไม่เรียกว่าปรามาสศีลแล้วจะเรียกว่าอะไร  ไม่เรียกว่าปรามาสธรรม ไม่เรียกว่าปรามาสกายแล้วจะเรียกว่าอะไร

มันก็วิ่งไปค้นหา สร้างความละเอียด คอยจับความละเอียดของกิเลสของจิตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ เห็นมั้ย ไม่เท่าทันน่ะ มันอ้างธรรมมาเสร็จเลย กำลังพิจารณาไตรลักษณ์ในจิต ...เมื่อไหร่จะหมด หือ


โยม –  อาการมันเหมือน คล้ายๆ ตอนนี้ครับ เหมือนพยายามจะดูกายอยู่ แต่เหมือนมันล็อค

พระอาจารย์ –  อย่าไปสนใจ อย่าไปข้องแวะ ...เข้าใจคำว่าอย่าไปข้องแวะมั้ย ถอยห่าง มองด้วยหางตา พอให้เห็น พอให้รู้ว่ามี พอให้รู้ว่ามีอาการนี้อยู่ 

อย่าไปจับมาเป็นอารมณ์ อย่าไปข้อง อย่าไปกังวลกับมัน ...เฉยๆ แล้วก็มาวนเวียนอยู่ในความรู้สึกของกาย มันแน่นมันตึงตรงไหน นั่นแหละ จรดไว้ แน่วแน่ไว้ ให้มันแน่วแน่กับตรงนี้

ไอ้ตรงนั้นน่ะช่างมัน ไม่ต้องไปแน่วแน่กับมัน ไม่ต้องไปคิดแก้ไขกับมันด้วย ...เหมือนกับเป็นเรื่องที่ มองดูเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร 

นั่นแหละที่เรียกว่าวาง วางอารมณ์ในจิต วางอาการของจิต ...นี่ ทั้งหมดเป็นอาการของจิตหมด มันกำลังหลอก แล้วมันจะสร้างความเข้มแข็ง จนมีความจริงจังมั่นหมายในตัวของมันขึ้นมา 

มันก็จะเป็นภพที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ...ถ้าเรายังไปจ้องอยู่ในอาการนั้น หรือว่าไปกังวลอยู่กับอาการนั้นน่ะ เหล่านี้คือการสร้างภพให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ระหว่างที่มันเข้าไปจดจ้องนี่ เข้าใจมั้ย มันจะทิ้งกายแล้ว มันจะทิ้งฐานศีลฐานกายแล้ว เลือนๆๆ ...ต้องดึงกลับ น้อมกลับ...มาไล่ความรู้สึกในกายอีก 

ไอ้ตัวนั้นจะหายก็ช่าง ไม่หายก็ช่าง มากขึ้นก็ช่าง น้อยลงก็ช่าง ...เอาเหอะ อดทน ไม่ต้องคิดแก้มันด้วย ถอยจิตออกมา ถอยจิตให้มารวมอยู่ในกายนี้ ...ให้กายกับจิตน่ะเป็นหนึ่งกัน 

เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ดึงกลับมาเองน่ะ ...กระแสจิตที่มันดึงเข้าไปปรุงเป็นลักษณะอาการ สร้างภพ กำลังก่อร่างสร้างภพอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอาการใด จะมืดจะทึบ จะตึงจะแน่น จะหมองจะขุ่น พวกนี้คืออารมณ์หมด 

อย่าไปมุ่งแก้มัน ยิ่งไปมุ่งก็เหมือนไปให้กำลังเจตนากับมัน...ไม่หายง่ายๆ หรอก ยิ่งไปกันใหญ่ ...แล้วมันจะแตกลูกแตกหลานออกไปเป็นลักษณะอาการมากมาย

ลงมาที่กายที่เดียว ที่อาการเดิมๆ  ดูมันไป อดทนฝืนทวนเข้ามา เดี๋ยวมันก็หลุดร่อนหายไปเองน่ะ โดยที่ไม่ต้องไปแตะต้องมันเลยน่ะ ...ถ้าอย่างนี้เรียกว่าภาวนาละกิเลส 

ไม่ใช่ภาวนาเอากิเลส ไม่ได้ภาวนาตามกิเลส ไม่ได้ภาวนาแก้กิเลส ...แต่ละกิเลส โดยศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวพาละกิเลส ถอนจากกิเลส

ไม่ได้แก้กิเลสด้วยนะ ...ไอ้ที่กำลังจะไปทำอะไรกับมันนี่ ถือว่าเป็นการภาวนาแก้กิเลส เหมือนกับ หน้าตาอย่างนี้แล้วไปโบ๊ะหน้า รองพื้น ใส่วิก ให้มันดูสวยขึ้น 

เขาเรียกว่าแก้กิเลส เปลี่ยนให้มันเป็นลักษณะนี้แทน นี่เขาเรียกว่าภาวนาแก้กิเลส ...เดี๋ยวอันนี้ไม่พอใจแล้วเปลี่ยนใหม่ แก้ใหม่ ไปคอยแต่งคอยเติมอยู่นั่น

เดี๋ยวก็เติมแต่งใส่คิ้วขึ้นมาอีก พอกสี ทำไฮไลท์ผม อย่างนี้ เอาไงก็ได้ ...อย่างนี้เขาเรียกว่าภาวนาแก้ จะแก้กิเลสให้มันเปลี่ยนไปดังใจเราปรารถนา...ไม่มีประโยชน์ 

ต้องละ ...ไม่ไปแตะต้องมันเลย ให้มันแก่ตายของมันไปเองน่ะ  ดีก็แก่ตาย ชั่วก็แก่ตาย ถูกใจก็แก่ตายไปเอง ไม่ถูกใจก็แก่ตายไปเองของมัน ...ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน

ต้องยืนหยัดอยู่บนฐานของกายใจ  ศีลสมาธิปัญญา...ต้องเป็นจุดที่ยืนหยัดตั้งมั่นอยู่ในที่อย่างนี้ให้ได้อย่างแข็งแกร่ง  จึงจะเป็นการภาวนาละกิเลสโดยตรง

แล้วมันจะเข้าใจกระบวนการของขันธ์ กระบวนการของกิเลสเองว่ามายังไง เกิดจากอะไร ...นี่ มาจากจิตล้วนๆ เป็นสมุทัย จิตน่ะตัวสมุทัย 

กายใจนี่ไม่ใช่สมุทัยนะ ...จำเพาะกายนี่ทุกข์  กาย-ใจ...มรรค  ใจล้วนๆ นิโรธ แค่นั้นแหละ 

แต่ถ้าจิตล้วนๆ...สมุทัย กับทุกข์อุปาทาน ...ก็ต้องละลูกเดียวนะถ้าว่าอย่างนี้ ใช่มั้ย ...ทุกอาการที่ออกมาจิต สมุทัยหมด เป็นผลสืบเนื่องจากสมุทัย ภพและชาติ

ทำยังไงถึงจะแยกแยะได้ชัดเจนว่านี่กายนี่จิต แค่นั้นแหละ  อันไหนเป็นกาย อันไหนเป็นจิต ...ถ้ามันยังไม่ชัดเจนว่าอันไหนเป็นกาย อันไหนเป็นจิต มันยังเบลอ มันยังอึมครึมกันอยู่นี่ 

แปลว่าปัญญาต่ำ ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ นั่น มันก็แทรกซึมกัน...เอ๊ะ อันไหนกาย อันไหนจิต มันลักษณะจิตหรือนี่ลักษณะกายกันแน่ ...นี่แปลว่าปัญญาต่ำ

ก็ต้องทำกายให้ชัดเจนขึ้นโดยอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน  เอี้ยวตัว หมุนหัน  ยก เหยียบ ย่าง ก้าว  ก้ม เงย พวกนี้ มันจะมีความรู้สึกของกายอย่างชัดเจน 

แล้วก็มาสำเหนียกรู้สำเหนียกเห็นกับความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อทำความชัดเจนว่ากายคืออย่างนี้นะ จิตคืออย่างนี้ ไม่ใช่อันเดียวกัน คนละอย่างกัน ...มันจะได้ละได้ถูกที่น่ะ 

ไม่งั้นมันเลยกลายเป็นละกายไปเอาจิตโดยไม่รู้ตัวซะอย่างนั้น ...เพราะมันแยกไม่ออกอย่างชัดเจน ปัญญามันยังต่ำ มันก็อึมครึมอยู่อย่างนั้น อันไหนกายอันไหนจิต 

ถ้ายังนั่งอยู่เฉยๆ อย่างนี้ แล้วมันจม กายกับจิตมันกลืนกัน ไม่รู้ ไม่รู้จะเอาอันไหนดี มันก็ถือครองทั้งสองอย่าง มันก็อึมครึมอย่างนี้ ...ตรงนี้เขาเรียกว่ามันคานิวรณ์ มันปกปิดศีลปกปิดกายอยู่


โยม –  เมื่อคืนนี้หนูไม่ค่อยได้หลับน่ะค่ะหลวงพ่อ พอดีมีเสียงเพื่อนกรนตลอดเลย ควรทำยังไงคะ หรือว่าคืนนี้หนีดีคะ

พระอาจารย์ –  ควรก็คืออยู่ที่ฟังเสียง แล้วก็ดูว่ามีอารมณ์กำลังเกิดขึ้น...พอใจ-ไม่พอใจ


โยม –  ตลอดเลยหรือคะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  ตลอดอยู่แล้ว ...ก็อดทนไปอย่างนั้นน่ะ คอยอยู่กับกาย กำลังอยู่ในท่านอนก็อยู่ในท่านอน แล้วก็ดูว่า ระหว่างอยู่ในท่านอนมันมีอารมณ์ขึ้นมาจากเสียง ก็ให้เห็นว่ามีอารมณ์ขึ้นมา 

แต่อย่าทิ้งฐานกายนะ อย่าไปปรุงกับอารมณ์ ไม่พอใจ หงุดหงิดอย่างนี้ ก็ให้เห็นว่าหงุดหงิดไม่พอใจ แล้วระวังจิตที่จะไปปรุงต่อความหงุดหงิดต่อ ว่าจะทำยังไงดี เข้าใจมั้ย  

นี่ แค่คิดว่าจะทำยังไงดี นี่คือปรุงต่อแล้วกับอารมณ์ ...แต่ไอ้อารมณ์นี่ห้ามไม่ได้ เข้าใจมั้ย ความหงุดหงิด ความไม่พอใจนี่ มันมีอยู่แล้ว มันต้องมี

แต่ว่าที่มีอยู่แล้วนี่ อย่าไปปรุงเติม ...อันนี้ต้องระวัง เท่าทันจิตตัวนี้ก่อน โดยที่มายืนอยู่บนฐานกายไว้ มันจึงจะเท่าทันจิต ไม่ต้องไปคิดต่อกับมัน 

แต่ห้ามอารมณ์ไม่ได้ เพราะเรายังมีกิเลส มันยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเราตัวเขาอยู่ ...เพราะนั้นมันจะต้องมีอารมณ์เป็นปกติของปุถุชน 

แต่ว่าเราสามารถทำได้คือไม่ให้อารมณ์มันมากขึ้น ด้วยการที่ไม่เข้าไปปรุงต่อกับมัน ...นี่ต้องระวังจิตที่คิดว่าจะทำยังไงดี แก้ยังไงดี นี่เรียกว่าปรุงต่อ แต่งต่อ 

ตรงนี้ที่มันจะเกิดความวุ่นวี่วุ่นวายมากขึ้น ... ให้มันมีแต่วุ่นวายแค่หงุดหงิดที่ได้ยินเสียง...ต้องทนตรงนี้ก่อน โดยอยู่บนฐานกายไว้ ผูกไว้ก่อน เข้าใจมั้ย


โยม –  แค่กาย..แล้วก็หงุดหงิด กาย..แล้วก็หงุดหงิด

พระอาจารย์ –  แค่นั้นแหละ อย่าคิด


โยม –  มันก็ทุกข์ทรมานนะคะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  ก็ต้องทนทุกข์ ...นี่คือทุกข์ของกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีอารมณ์ ถ้าไม่มีเราก็ไม่มีอารมณ์


โยม –  แต่ถ้า..กายแล้วก็หงุดหงิดๆ คือพยายามดูไปตลอด แล้วหนูจะเห็นว่ามันเกิดตรงไหนหรือคะ ไอ้หงุดหงิดน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องไปหา อย่าไปหา ปัญญาเรายังไม่เห็นหรอก ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ...เอากายเป็นหลัก เข้าใจมั้ย อย่าไปส่งออกนอก ไปค้นหาว่าอารมณ์คืออะไร ...นี่เขาเรียกว่าส่งออกนอก 

อย่าออกนอก เอากายไว้ อย่าไปวุ่นวี่วุ่นวายกับอารมณ์ ...ไอ้ตรงนี้ที่เรียกว่าฟุ้งซ่าน นี่คือเกิดความฟุ้งซ่านแล้ว ไม่รู้รึไง จิตกำลังทำงานอีกแล้ว ในการที่จะหาที่มาที่ไปของมัน ...นี่ฟุ้งซ่านนะ ไม่ใช่ปัญญานะ 

ฟุ้งซ่าน..ไม่เอา เอากาย คือรักษากายรักษาใจ รักษารู้รักษากายไว้ อารมณ์ก็อยู่ส่วนอารมณ์ ช่างหัวมัน บอกแล้วไง ไม่ต้องไปหาที่มาที่ไปมันหรอก ให้มันดับซะก่อน ให้มันหายไปเอง แล้วทรงศีลไว้ ทรงสมาธิไว้


โยม –  แล้วถ้ามันไม่หาย

พระอาจารย์ –  ไม่หายก็ต้องทนอยู่อย่างนั้น ...ถ้าจะรู้ว่าที่มาที่ไปมาจากไหน จะต้องอยู่ในฐานของศีลสมาธิอย่างเข้มแข็ง แล้วมันจะเห็นโดยทันทีว่า อ๋อ มันเกิดตอนนี้ ...นั่นแหละถึงจะเห็น เข้าใจมั้ย 

แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว...ไม่มีทางเห็น ...อย่างรถวิ่งบนถนนใหญ่นี่ โยมวิ่งรถตามหลัง ถามมันสิ มันออกมาจากซอยไหน หือ รู้มั้ย 

แล้วจะไปค้นหาความเป็นจริงกับมันได้มั้ย ว่ามันออกมาจากซอยไหน...ไม่ได้ มันออกมาแล้ว เราไม่สามารถไปค้นหาในอดีตได้แล้ว จนกว่ารถมันจะตกถนนหรือพังไปเองน่ะ 

แล้วเราก็วิ่งไปบนถนน แล้วเราจะเห็นเลยว่ามีรถมันออกจากซอยตรงนี้ นั่นแหละในปัจจุบันถึงจะเห็นว่ารถออกมาจากซอยนี้แล้วก็วิ่งตามหลังมันไป นี่จะเห็นว่า อ๋อ ที่มาของมันมาจากตรงนี้

แต่ถ้ามันขึ้นมาวิ่งบนถนนแล้ว ไปถามมันสิว่ามันมายังไง ไปดูเพื่อหาความเป็นจริงว่ามันออกมาจากซอยไหน ...โง่นะ หาความโง่รึไง หายังไงก็ไม่เจอ 

เราก็ต้องรักษาระดับเลเวลของเราให้ไม่ตกถนนซะก่อนน่ะ ประคองตัวไปจนกว่ามันจะตกถนนก่อนเราน่ะ ...นั่นน่ะคือประคองศีลสมาธิปัญญาไว้

ต้องเรียกว่าประคองไว้นะ ในขณะที่มันมีอารมณ์นี่ ต้องเรียกว่าประคองไว้ ...มันก็ลำบาก ก็ต้องลำบาก เพราะกิเลสมันสร้างเรื่องลำบากขึ้นมาแล้วนี่ จะทำยังไง

แต่ว่าจนกว่ามันจะหมดไป แล้วครั้งใหม่ว่ากันใหม่ ...ถ้าทรงศีลไว้ ทรงสมาธิไว้ ทีนี้มันจะมาตอนไหนก็รู้ แค่เห็นปุ๊บ แค่มันเงยหัวขึ้นมาปุ๊บ ทัน ...มันก็อุดรอยรั่วอุดรอยโหว่ตรงนั้น 

นั่นแหละ มันจะเห็นที่มาที่ไปของขันธ์ห้า ว่าเกิดจากอะไร  นั่นแหละมันจะเห็นว่า จิตเป็นสมุทัยยังไง ความส่งออกเป็นสมุทัยยังไง ความปรุงแต่งเป็นสมุทัยยังไง ...มันเริ่มจากจุดนี้ๆๆ

แต่ตอนนี้มันเกิดมาแล้ว ไม่มีทางไปหาจุดเริ่มต้นของมัน ไม่มีทางหรอก ...อย่าไปโง่กับกิเลส อย่าไปโง่แล้วก็พาให้ไปหลงในความงมงายกับมัน อย่าไปดำหัวอยู่ในมัน อย่าไปมุดหัวอยู่กับมัน

ต้องเงยหน้าออกมา แล้วก็ยืนอยู่บนเส้นทางของมรรค กายใจ ศีลสมาธิปัญญา ...แล้วไม่มีอะไรจริงเกินศีลสมาธิปัญญา ทุกอย่างสลายหมด บอกให้เลย ให้มันสลายไปก่อน ด้วยความอดทน

เอ้าไป ไปฝึกกัน หาความชำนิชำนาญในศีลสมาธิปัญญา


โยม –  จะถาม ความง่วงหายไปหมดแล้ว

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ อย่าไปสนใจมัน มุ่งลงที่กายไว้ แก้ได้หมด ...ไม่ต้องแก้ด้วยการหาอุบายชนะความง่วงเลย  แก้กันตรงๆ แล้วไม่ไปใส่ใจกับมัน แค่นั้นน่ะ 

ทุกอย่างจะเห็นเองว่าไม่มีอะไรจริงเกินกายใจ ...ง่วงดับง่วงหาย ...กายใจยังอยู่...นั่นน่ะของจริง นอกนั้นกิเลสหลอกหมด


...................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น