วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/31



พระอาจารย์
16/31 (571017A)
17 ตุลาคม 2557


พระอาจารย์ –  ค่อยๆ เพียรไป อย่าไปทำวุ่นวี่วุ่นวายภายนอก ไปหาอะไรทำ ...มันเข้าไม่ถึงธรรม ปฏิบัติกันสับสนวุ่นวายไปหมด ทั้งพิธีกรรม วิธีการ เยอะแยะวุ่นวาย

มีแต่เรื่องราว ไม่หมดเรื่องหมดราวซะที ...ก็พยายามทำให้มันมีเรื่องราวไป ทั้งทางโลกทางธรรม ให้ได้ความรู้ ได้อะไร เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาก็ว่าก้าวหน้า

กายอันเดิมใจอันเดิม มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ มันเป็นของเก่า มีมาทุกชาติทุกภพทุกสมัยเหมือนเดิม เย็นร้อนอ่อนแข็งก็เหมือนเดิม แสดงอาการเดิมๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาอยู่แล้ว

มันไม่ดู มัวแต่หาดูสิ่งภายนอก หาธรรมภายนอก ตรงไหนที่มันมีสีมีสันแปลกๆ ตระการตา ตามบัญญัติภาษา ตำรับตำรา คำพูดคนนั้นคนนี้ ...ก็เบี่ยงเบนไปในธรรมกันหมด 

มันหาธรรมแท้ธรรมจริงกันถึงไม่เจอ ไม่รู้จัก...ธรรมอันเดิม เกิดมากับกายอันเดิม เปลี่ยนแค่รูปลักษณ์ สีสันวรรณะแค่นั้นเอง ...ลักษณะอาการของธาตุก็อันเดิม 

ก็ยังมาหลงของเดิมๆ นี่ ว่ามันเป็นเรา เป็นสัตว์เป็นบุคคลอยู่ชั่วนาตาปี ไม่แก้ไม่ไข ...พอมาริเริ่มปฏิบัติธรรมก็วิ่งหา ค้น สร้างสภาวะต่างๆ นานา จับอาการนั้น ดูอาการนี้ของจิต 

มันก็วุ่นวี่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน เดี๋ยวมี...เดี๋ยวไม่มี เดี๋ยวได้...เดี๋ยวไม่ได้ เดี๋ยวเหมือนเดิม...เดี๋ยวไม่เหมือนเดิมอยู่อย่างนั้นเอง หาความแน่นอนไม่ได้

มันไปตั้งหน้าตั้งตาค้นหากันเข้าไป เพื่อพอกพูนความรู้...ด้วยความโง่ มันก็เข้าใจว่าเป็นความรู้ ...มันเป็นความโง่ทั้งนั้น ไปเก็บมาให้หนักซะอย่างนั้นน่ะ 

ไปเก็บให้มันมาเป็นภาระ ให้เป็นเรื่องราวจริงจังมั่นหมาย ยึดมั่นถือมั่น ซ้ำแล้วซ้ำเดิม ...แล้วก็มาเถียงกัน ทะเลาะกัน  เอาถูกเอาผิด เอาชนะคะคานกัน

ตราบใดที่ยังควบคุมจิตให้เป็นหนึ่งไม่ได้ จิตไม่ลงให้กาย ไม่ลงให้ศีล...ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมที่มีอยู่แต่ดั้งแต่เดิม ไม่มีทางละวางความเห็นผิดในธรรม

มีแต่เสกสรรปั้นแต่งในธรรมกันขึ้นมาใหม่ ให้มันยิ่งใหญ่อลังการขึ้นมา มันก็เข้าใจธรรมผิดๆ ...ให้ละให้เลิกก็ไม่ยอม หวงแหนธรรม วางไม่เป็น วางไม่ลง เสียดายธรรมที่ได้ที่มี 

ที่กำลังค้น ที่กำลังหา ก็ไม่ยอมเลิก นี่ มันต้องหยุดอยู่ภายใน ไม่เอาอะไรมาเป็นสาระ จิตมันไปหาภาระมาเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย หาอยู่หากินเป็นภพเป็นชาติมาเสวยไม่หยุดไม่หย่อน

ต้องควบคุมให้จิตมัน บังคับมัน ให้มันมาเรียนรู้เรื่องเดียวเรื่องกาย ให้มันมาจดจ่อเพียรเพ่งในธรรมอันเดิม ธรรมที่มีอยู่คู่โลกคือกาย...ความเป็นสัตว์ที่มีกาย

กิเลสมันติดกายที่สุด ติดกายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์อย่างยิ่งยวด ...ก็เพราะว่ามันเห็นกายผิดสภาพไปจากความเป็นจริง

ถ้าไม่แก้ไขให้มันมาเรียนรู้ ให้เห็นความเป็นจริงของกายตามความเป็นจริง...ที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ...นี่ ไม่มีทางที่จะออกจากทุกข์อันมหันต์ได้ ในการเกิดมาเป็นคน

มันก็ยึดมั่นถือมั่นในตัวกาย...เป็นตัวเราของเราอยู่ตลอดเวลา ...จิตน่ะ มันไม่สามารถปล่อยวางได้ ในความเห็นผิดในกาย เพราะไม่เคยสั่งสอนให้จิตมันน้อมมาดู มารู้ มาเห็น ความเป็นจริงที่แท้ของกาย

มันก็เลยไม่สามารถถ่ายถอนความเห็นผิดได้ รังแต่จะยึดมั่นถือมั่นในความเป็นเราของเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ พอกพูนเป็นทิฏฐิอยู่อย่างนั้น ยากแก่การแก้ไข

เพราะนั้น ยืนเดินนั่งนอน ให้จิตมันมากำหนด รู้ ดู เห็น ด้วยสติ นำพาจิตให้มันมาอยู่ในหลักกาย หลักปัจจุบัน หลักศีลสมาธิปัญญา

ถ้าไม่น้อมนำให้จิตมันมาอยู่ในหลักศีลสมาธิปัญญา..กายใจปัจจุบัน ...มันไม่มีทางจะรู้จักกายตามความเป็นจริง จนสามารถเพิกถอนความเห็นผิดในกาย ความเห็นผิดตามประสาคนโลกได้

กิเลสยึดมั่นถือมั่นในกายนี่ยิ่งใหญ่มาก เป็นสิ่งให้เกิดทุกข์ยิ่งใหญ่มหันต์ ในการเกิดการตายของคน ของสัตว์โลก นี่ ถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้น่ะ ไม่มีทางเลย

มัวแต่ไปและเล็มที่อื่น สัพเพเหระ ไร้สาระ เป็นธรรมที่ไร้สาระ ...ความรู้ความเห็นต่างๆ นานาก็เป็นความรู้ที่ไม่สามารถจะเพิกถอนกิเลสได้เลย มีแต่เพิ่มพูนอัตตาตัวตน

ยิ่งภาวนามันก็ยิ่งมีความอหังการมากขึ้น อวดตัวอวดรู้ อวดเก่งอวดดี มากขึ้น มันภาวนาไม่ได้เป็นไปเพื่อความถ่อมตนเลย มีแต่ความอวดดี อวดเก่ง อวดรู้

นี่ มันภาวนาไม่ถูก มันก็เป็นอย่างนี้  ไปหาดูได้ในหมู่ผู้ปฏิบัตินั่นแหละ มันมีการประชันขันแข่ง อวดดีอวดเก่งกันไป มันไม่ได้เพิกถอนอัตตาตัวตนเลย

มีแต่สร้างมานะ พอกพูนมานะทิฏฐิ ...มันปฏิบัติไม่ตรงกับมรรค มันก็ไม่ได้รับผลที่ตรง  มันก็เลยไม่เข้าใจว่าที่ทำนั่นเป็นการปฏิบัติที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปอย่างยิ่ง

มิหนำซ้ำบางท่านบางอาจารย์ก็ยังมาสนับสนุนให้มันเป็นไปมากยิ่งขึ้นไปอีก มันจึงเกิดการสับสนในธรรม เกิดความแตกต่างในธรรม เกิดความแตกต่างในผล ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ก็เพียรเพ่งลงไปกายใจปัจจุบันน่ะ สังเกตความเป็นไปของกาย ตามปกติวิสัยของมัน ...เขาแสดงนัยยะแห่งความเป็นจริงให้เห็น โดยไม่ต้องมีคำพูดมาประกอบด้วย

เขาก็แสดงนัยยะแห่งความเป็นจริง เป็นนัยๆ ให้เห็นอยู่แล้วว่า...ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของใคร ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์แก่ใคร

นี่ เป็นธรรมที่มีอยู่จริง เป็นธรรมที่แสดงแต่ความเป็นจริงล้วนๆ  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีล่อหลอก ...ไม่เหมือนจิต ไม่เหมือนกิเลส มีแต่เล่ห์เหลี่ยมล่อหลอก

จิตกิเลสมันยักย้ายถ่ายเท เปลี่ยนแง่มุมได้ตลอดเวลา เปลี่ยนผิดเป็นถูก เดี๋ยวถูกเป็นผิด เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้ายเป็นไม่ร้าย ...นั่น กิเลสมันปลิ้นปล้อน

มีแต่กาย ความเป็นจริงของธรรม ความเป็นจริงของกาย ที่มันแสดงอาการโดยตรง ไม่มีนอกไม่มีใน เสมอภาค เป็นธรรมที่เป็นกลาง ไม่มีความเป็นสัตว์บุคคล ไม่มีความเป็นชีวิตจิตใจ ...เป็นธรรมคู่โลก

ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักว่า ธรรมตามความเป็นจริงคืออะไร แล้วพยายามหลอมหลักธรรมตามความเป็นจริงกับธรรมที่ไม่จริง ...ก็ไม่ได้เรียก ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ...พระวักกลิก็มัวแต่ดูรูปโฉมของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ มีแต่ความปลื้มปีติในความผ่องใสของพุทธะภายนอก

ท่านก็บอกว่าไม่ได้อะไร ถ้าไม่เข้าไปรู้จักเห็นธรรม สภาพธรรมตามจริง ...จึงว่า ตถาคต มาจาก "ตถตา" นั่นแหละ เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ได้เป็นอื่น เป็นอย่างที่มันเป็นเช่นนั้นเอง

ส่วนมากพวกนักปฏิบัติ มันไม่เท่าทันกิเลส ปล่อยให้กิเลสความปรุงแต่งนึกคิดล่อหลอก ค้นหาพาออกนอก พาออกไปวนเวียน ว่า อันนั้นดี อันนี้ใช่

อันนี้ส่งผลเบื้องหน้าอย่างนั้น อันนั้นมาช่วย อันนั้นเป็นธรรมที่เร็ว อันนั้นอย่างนี้อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา พาให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจขึ้นไปโดยใช่เหตุ

ถ้าไม่เชื่อไม่ฟัง แล้วก็ละเลิกทำลายล้างมันเสียในความคิดความเห็นแห่งเราใดๆ ...แล้วก็ดำรงคงอยู่แค่กายใจ ปรากฏอยู่แค่กายใจ เป็นที่ตั้งแห่งธรรม เป็นที่เรียนรู้ธรรม

ให้มันเกิดความลึกซึ้งในธรรม ให้มันเกิดความแจ่มแจ้งในธรรม จนถึงเรียกว่าแทงตลอดในธรรม ...แข่งกับวันเวลาที่มันล่วงผ่านไปสู่ความตาย เพราะมันมีอายุขัยของมัน

เพราะนั้นการภาวนามันจึงต้องแข่งกับวันเวลา กับก้อนธรรมที่มันเสื่อมลงสลายลงไป ...เรียนรู้กายใจ คือการเรียนรู้ธรรมตามความเป็นจริง

ถ้าไม่อย่างนั้น จิตมันก็ระหกระเหินเร่ร่อนไป กลายเป็นผีบ้าผีบอ ไปอยู่กับความคิดความเชื่อไร้สาระ เลื่อนๆ ลอยๆ บ้าบอเป็นผีบ้า เพราะมันไม่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงเลย

มันไปอยู่กับความเพ้อเจ้อที่จิตมันสร้างสรรค์ปรุงแต่งความเห็นความเชื่อ แล้วก็บ้ากันไป จับกลุ่มกันบ้า ...จิตตัวเจ้าของ ความเห็นเจ้าของ ความคิดเจ้าของมันจับต้องไม่ได้ มันเป็นผีหมด

มันก็เชื่อกันเป็นผีบ้า บ้ากิเลส สร้างความหลอกลวงขึ้น แล้วก็ไปว่าคนอื่นเป็นผี จิตเจ้าของน่ะเป็นผี  มันหลอกเช้าหลอกเย็น เช้าสายบ่ายค่ำหลอกทุกเวลา ยังไปเห็นดีเห็นงามกับมัน

พอให้มาระลึกนึกน้อมอยู่กับกายใจนี่ เหมือนอย่างกับเอาวัวเข้าโรงเชือดอย่างนี้ มันกลัวความจริง กลัวจิต ...มันจะไปสร้างความเป็นจริงของมันเองขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อย

ยิ่งมีคนภายนอกสนับสนุน ก็เหมือนกับตามความคิดความเห็นไป ภายนอกก็ทำกันไปบ้าบอ  ไม่ได้ตามพระธรรมวินัยเลย  มันไปดัดแปลงแก้ไขธรรมวินัยซะอีก

สมัยพระปัญจวัคคีย์ฟังธรรมน่ะ ท่านก็ยังไม่ได้อาราธนาศีลเลย ทำไมท่านยังสำเร็จโสดาบัน ศีลห้าก็ไม่มี ศีลแปดก็ไม่มี ศีลสิบก็ไม่ได้รักษา ศีล ๒๒๗ ก็ยังไม่เกิดเลย ทำไมถึงเข้าโสดาบันได้เป็นลำดับลำดาไป

ดูสิตั้งแต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ฟังธรรม ก็ไม่ได้มีศีลไม่ได้อาราธนาศีลตรงไหน ไม่ได้ว่ามาจากพุทธวัจนะหรือสาวกวัจนะ ยังสำเร็จได้ ...ไม่ได้มีศีลสักข้อเลย ศีลเป็นข้อๆ นี่ ไม่ได้มีสักข้อเลย

ไอ้นี่มันมีแต่เอาชนะคะคานกันในแง่มุมต่างๆ นานา  เสียเวลาลมหายใจเข้าออก ...แทนที่จะใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นที่กำหนดรู้ดูเห็นว่ามันไม่ใช่เป็นเราของเรา

ดันเอาลมหายใจเข้าออกมาพ่นเป็นภาษาคำพูดว่ากล่าวให้กัน นี่เรียกว่า เสียดายลมหายใจเข้าออก ใช้ไม่เป็น เอามาติเตียน เอาลมมาด่ามาว่ากัน มีแต่ทุกข์มีแต่โทษ มีแต่กุศล-อกุศลเกิดขึ้นมา

นี่ เอาลมมาติเตียนกัน เอาลมมาชมกัน เอาลมมายกยอปอปั้นให้กัน เอาลมมาเสียดแทงกัน ว่ากล่าวเหน็บแนมกัน อย่างนี้เรียกว่าใช้ลมหายใจไม่เป็น

ลมหายใจมันดำรงขันธ์ ดำรงกาย ให้สืบเนื่องในกายโดยธรรมชาติ ...มันก็ได้อาศัยลมหายใจนี่เป็นเครื่องเรียนรู้ภาวนา เห็นความเป็นจริงของลมว่าเป็นลม...ไม่ใช่เรา

จะได้เห็นความเป็นจริงของลมว่าเป็นลม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่สัตว์บุคคล นี่ เกิดมากับก้อนธรรม แต่ไม่รู้จักตักตวง หาความรู้กับก้อนธรรมที่ได้มา



(ต่อแทร็ก 16/32)







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น