วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/35 (1)


พระอาจารย์
16/35 (571024C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
24 ตุลาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เหมือนเราเกิดมากลางมหาสมุทร ว่ายเวียนวนอยู่กลางมหาสมุทร ตายแล้วก็จมอยู่ใต้มหาสมุทร เกิดใหม่ก็เกิดกลางมหาสมุทร ที่ไม่เจอฝั่ง หาฝั่งไม่เจอ

จนกว่าวันใดวันหนึ่ง มีผู้มากล่าวบอกในท่ามกลางมหาสมุทรแห่งทุกข์  แล้วทำสัญลักษณ์ชี้นิ้วไปว่า ตรงนั้นเป็นฝั่ง...เธอทั้งหลายจงว่ายไป

ก็มีคนเชื่อบ้าง มีคนไม่เชื่อบ้าง...ไม่เชื่อนี่เยอะ หลายพันล้านคน  ไอ้ที่เชื่อแล้วว่ายตาม..แล้วก็หวนกลับ ก็เยอะ เพราะว่าระหว่างที่ว่ายก็ไม่เห็นฝั่งเหมือนกัน ใช่มั้ย

ไม่ใช่ว่ามีเสียงลือเสียงเล่าอ้างแล้วก็คนมายืนชี้ว่าทางนั้นเป็นฝั่ง ไหนวะฝั่ง ไม่เห็นเลย...แต่เชื่อแล้วก็ว่ายไป ...ว่ายไปไม่ถึงฝั่ง ไม่เห็นฝั่ง เหนื่อย เบื่อ เซ็ง คงไม่เจอฝั่งแน่ๆ เลย

เพราะอะไร ...มันมีคนข้างๆ ที่ว่ายมาด้วยกันไซโค เฮ้ย เธอว่ายไปทำไม ชั้นนี่เห็นทางนั้นเขาว่ายไปได้โสดา ได้อนาคา เยอะแยะเลย ...ก็ เหรอๆๆ หันกลับเลย

แต่มีไอ้เดนตายบางคนบางสัตว์...ว่ายไปแบบโง่ๆ วะ ...คือหูทวนน้ำ หูทวนลม ไม่ฟังใคร ไม่ดูใคร ใครไซโคก็ปล่อยให้มันพูดจนน้ำหมากกระจาย...ก็ช่างมึงเหอะ ว่ายลูกเดียว

เงยหน้าขึ้นมา...เอ้า เห็นฝั่งลิบๆ ...นี่ ใจ..กำลังใจนี่มาเป็นกอง ...ถึงมีเสียงตะโกนปาวๆ อยู่ข้างหลัง “ผิดทางนะๆ” ...บ้าหรือมึง หือ ก็มันเห็นอยู่ เบื้องหน้ามันคือฝั่ง มันจะว่ายกลับไหมนี่

ถ้ามันเห็นอย่างนี้ แล้วมีเสียงประกาศตูมๆ ตามๆ ว่าอีกทางนั้นน่ะฝั่ง มันไม่ฟังหรอก...กลับว่ายสวนไปเลยที่ฝั่งที่เห็น...ให้เห็นกันไปเลย แบบทุ่มเท แบบไม่เสียเวลาเลย

พอถึงจุดที่เรียกว่าเกยตื้น อันนี้ไม่ต้องว่ายนะ เดินเอา เดินอยู่ในน้ำ ...ที่ตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดตีนเวลาว่ายน้ำ เดินเกยตื้นขึ้นมา หัวจรดตีนเริ่มแห้ง มาตามลำดับ 

ตั้งแต่หัวผม หน้าอก บั้นเอว หน้าขา หน้าแข้ง ข้อเท้า ตาตุ่ม ปลายตีน พ้นปลายตีน นอนแผ่บนฝั่งให้กิเลสแห้งซะหน่อย ให้น้ำมันแห้งซะหน่อย 

นั่น ตัวไม่เปียกแล้วนะ แล้วไม่มีที่จะหันลงไปเปียกในทะเลอีก ...นี่แหละที่ท่านใช้คำว่าขึ้นฝั่ง ...แต่ก่อนจะขึ้นฝั่งมันต้องหาฝั่งให้เจอก่อน 

เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว เดินไปจนสุดฝั่ง เดินไปจนกว่าไม่มีฝั่งให้เดิน นั่นแหละ จบกิจในพรหมจรรย์

พวกเราก็ประเมินเอาๆ ยังหูหนวกตาบอด ว่ายๆ เวียนๆ วนๆ อยู่ตรงไหน หรือลืมตาตื่นขึ้นมา ลืมตาว่ายแล้วมองรอบข้าง ด้วยปัญญาด้วยความเข้าใจถ่องแท้...ไปในทิศทางที่ถูกทิศทางที่ควร

ทิศทางที่ถูกทิศทางที่ควร...ไม่มีอะไรถูกควรกว่าศีลสมาธิปัญญา นั่นน่ะคือฝั่งความเป็นจริง ...อะไรที่นอกเหนือเกินศีลสมาธิปัญญา ท่านเรียกว่าฝั่งฝัน ฝั่งความคิดนึกปรุงแต่ง ฝั่งอดีตอนาคต

ล้วนแต่เป็นฝั่งที่ไม่มีอยู่จริง ท่านจึงเรียกว่าเป็นฝั่งฝัน เพ้อเจ้อ เลื่อนลอย หาสาระไม่ได้...แต่กลับงมงายอยู่ตรงนั้น จริงจังอยู่ตรงนั้น หมายมั่นอยู่ตรงนั้น ลุ่มหลงอยู่ตรงนั้น ...ไม่ต้องถามหาฝั่งเลย

นี่ ก็เลยต้องมาพูดกรอกหูกันอยู่ทุกวันว่า ศีลอยู่ไหน คืออะไร  สมาธิอยู่ไหน คืออะไร  ปัญญาอยู่ไหน คืออะไร ...เชื่อซะหน่อย ไม่เชื่อก็แกล้งเชื่อซะหน่อย

คือต้องแกล้งเชื่อก่อน แล้วทำ ...มันไม่มีใครเชื่อจริงตั้งแต่แรกฟังนี่หรอก เพราะที่พูดมาแล้วยังไม่เห็นใครสักคนที่พูดปั๊บแล้วเห็นฝั่งปุ๊บ เข้าใจมั้ย

ก็อยู่ในขั้นปทปรมะ แล้วกำลังยกระดับขึ้นมาเนยยะ...คือลืมตาขึ้น แล้วก็มีทิศทางเป้าหมายที่ชัดเจน นี่เนยยะ เข้าใจรึยัง ...รู้จักเนยยะรึเปล่า แล้วมีอุคติ..วิปัจจิตัญญู นี่บัวสี่เหล่า

พอได้รับการชี้นำ ศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่ไหน หมายความว่าลืมตาขึ้น แล้วมีทิศทางไป ...แต่ยังไม่เห็นหรอกจุดหมายของทิศทาง แล้วระหว่างนั้นก็ฟันฝ่า...ฟันฝ่ากับกิเลส

กิเลสคืออารมณ์น้อย-ใหญ่ กิเลสคือความอยาก-ความไม่อยากน้อย-ใหญ่ กิเลสคือความยึดหน้าถือตา ยึดตัวถือตนน้อย-ใหญ่ ...เหล่านี้จะต้องฝ่าฟันไป นี่ เนยยะ

เดี๋ยวซ้ายบ้าง เดี๋ยวขวาบ้าง เดี๋ยวไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง เดี๋ยวลังเลสงสัยบ้าง สุดท้ายต้องมีที่หมายที่มั่นอย่างชัดเจนเป็นที่ไป ...แล้วก็เหนื่อยยากลำบาก เพราะต้องออกแรงเยอะ

ออกแรงดึง...พยุงตัวเองไม่ให้จมหรือหันหลังกลับให้ไกลจากฝั่งไปอีก เหนื่อยขึ้นอีก เหล่านี้คือเนยยะ เพราะนั้นเนยยะนี่ เป็นลำดับที่ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดในการปฏิบัติ

ถ้าหยุดการปฏิบัติ หยุดการเจริญอยู่ในศีลสมาธิปัญญาเมื่อไหร่ จะถูกกระแสของน้ำนี่ พัดพากลับคืนเดิม วนลงไปในที่ใจกลางมหาสมุทรที่เดิม ที่เป็นแหล่งรวมของเสือสิงห์กระทิงแรด 

คือสัตว์ทั้งหลายที่เขาอยู่กันอย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน อย่างไม่รู้หนาวรู้ร้อน อย่างไม่รู้ว่าเป็นผิดเป็นถูกแต่ประการใด อย่างนั้น มันจะไปวนอยู่ในที่เดิม

เพราะนั้นมันจะต้องออกแรงที่จะว่ายทวนกระแส...ที่มันจะพัดมา เหมือนกับเป็นเขาวงกต วนลงมาที่จุดศูนย์กลางเดิม คือความลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในขันธ์ห้า อยู่ในโลก อยู่ในอดีตอนาคต อยู่ในความปรุงแต่งของจิต

เพราะอะไร ...เพราะมันคือของคุ้นเคยเดิมๆ ที่มีอยู่ ใช้อยู่กับมัน ...มันจึงมีกระแสดึงดูดที่จะเข้าไปกลมกลืนคืนเดิมกับกิเลส นับถือกิเลสเป็นญาติ เป็นมิตรสหาย เป็นมิตรผู้ชี้นำ เป็นเพื่อนแท้

เป็นมิตรแท้เพื่อนแท้...แต่พอชนแล้วประกันไม่รับจ่ายนะ ทุกข์ทีไรชิ่งหมดเลย มึงแก้กันเอาเอง (หัวเราะกัน) นี่ แล้วมันก็ไม่บอกวิธีแก้ปัญหาเมื่อเวลามีทุกข์เกิดขึ้นด้วยนะ

แต่มันก็ไปๆๆ ปึ้ง ชนปึ้ง...ทุกข์  แล้วมันก็..เออ แก้เอาเอง ...เนี่ยคือสันดานของกิเลสเลย คือสันดานของ “เรา” เลย  ไม่ใช่ใครเลย ทุกคนเลย เกิดมาพร้อมกิเลส

แล้วเราจะตายไปพร้อมกิเลสเท่าเก่าหรือมากกว่าเก่านี้หรือ ...หรือเกิดมาพร้อมกิเลสแต่รู้จักขัดเกลากิเลสเจ้าของจนเกิดความเบาบาง ถึงจะตายก็ตายแบบกิเลสเบาบางลงไป

อันนี้มีค่ากว่า มีค่ามากกว่าเกิดมาเพื่อพอกพูนกิเลส สั่งสมกิเลส ทำความหนาแน่นในกิเลสให้มากขึ้น ...คือไม่เกิดก็ไม่ว่านะนี่  แต่มันก็ต้องเกิด กิเลสก็พามาเกิดจนได้

เพราะนั้นเมื่อเราเข้าใจแล้วว่าที่หมายที่มั่นของการปฏิบัติ จุดหมายที่จะต้องไปคืออะไร ...นี่แหละคือสัจจาธิษฐาน ที่เรียกว่า ทำนิพพานให้แจ้ง...ถือว่าเป็นสัจจาธิษฐาน ทิศทางที่จะไปคือจุดนี้

มันมีทิศทางแน่วแน่แล้ว มันปรากฏทิศทางที่แน่วแน่แล้ว ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม ...สัจจาธิษฐานที่ว่า นิพพานเป็นที่สุด ตรงนี้เป็นมงคล หนึ่งในมงคลสามสิบแปด ก็คือนิพพานเป็นที่สุด


โยม –  แต่เวลาตั้งสัตย์อธิษฐานทีไร ส่วนมากจะมีมารเข้ามาเยอะ 

พระอาจารย์ –  อย่ากลัว อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ ...ถ้าอยากจะละกิเลส ก็ต้องเผชิญกับกิเลส ไม่มีหรอกที่อะไรได้มาง่ายๆ ...ฝันน่ะได้

ตื่นมา...โห กูสำเร็จแล้วว่ะ มีพระมาเทศน์ พระพุทธเจ้ามาเทศน์แล้วนั่งฟัง โหย เข้าใจ เห็นกิเลสหลุดเป็นตัวๆ เลย (หัวเราะกัน) ...เออ ถ้าฝันน่ะนิพพานได้อยู่ ง่ายด้วย

แต่การละกิเลสไม่ได้ง่ายอย่างนั้น การเผชิญกับอารมณ์ที่มันบีบคั้นอยู่ ที่มันไม่ยอม...ในการกระทำคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง แล้วมันเกิดก่อหวอดขึ้นเป็นอารมณ์อยู่ภายใน

ต้องเผชิญนะ ต้องตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น ไม่แตะต้องเลยนะ ...แล้วก็ดูเห็นในความเป็นไปของมัน...โดยยืนหยัดอยู่บนฐานกายใจ มันถึงจะไม่แตะต้อง เข้าใจมั้ย

ถ้ามันไม่ยืนหยัดอยู่บนฐานกาย ถ้าไม่ยืนหยัดอยู่บนฐานใจ  มันจะเกิดอาการเข้าไปแตะต้อง...ทำให้เปลี่ยนสภาพของการปรุงแต่งของอารมณ์ ...เราถึงบอกว่าอย่าไปยุ่งกับมัน 

แล้วตรงไหนที่จะอยู่แล้วถึงจะไม่ไปยุ่งกับมัน ...ตรงนี้คือฐาน ศีลสมาธิคือฐาน กายใจคือฐาน  พอตั้งฐานอย่างนี้ปั๊บ มึงมายังไงก็จะไม่หลุดจากฐาน

ตรงนี้จะไม่มีจิตที่มันวอกแวกไปแตะต้อง ตรงนี้จะไม่มีจิตวอกแวกไปเจตนาดีร้ายกับมัน ไปเพิ่มหรือลดกับมัน ตรงนี้ที่มันจะหยุดอยู่ ...แล้วจะเห็นความเป็นจริงของกิเลส

นี่ มันจะเห็นความเป็นจริงที่ว่า สุดท้ายปลายทางของกิเลส สุดท้ายปลายทางของอารมณ์ ระหว่างตั้งอยู่ของอารมณ์...ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรจริงเลย

ทีนี้เวลาต่อไป มันเห็นสักครั้ง หลายครั้งต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ...ทีนี้มันขึ้นมาใหม่ หลอกใหม่..."เฮ่อ ของเก่า โธ่ กูเห็นแล้ว" ...นี่ ปัญญามันจะจำได้

เฮ้ย เห็นแล้ว ไม่มีอะไร สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ...จะไปร้องไห้เสียใจอะไรกับมัน จะไปอึดอัดคับข้องอะไรกับมัน เห็นแล้ว...อะโด่ ดูแล้ว เข้าใจแล้ว

มันก็เลย...เหมือนตลกเล่นแล้วมุกแป้กน่ะ เฮ้ย แป้กว่ะ ทำไมมันไม่หัวเราะเลยวะ แป้ก  มันก็..เดี๋ยวๆ มันก็จะงัดมุกใหม่ เข้าใจมั้ย เอาจนกว่ามึงจะหัวเราะให้ได้

แรกๆ ก็เผลอหัวเราะกับมันหน่อย เอิ๊กๆ แล้วก็...เอ๊อะ ชักไม่เข้าท่าโว้ย  กลับมาตั้งมั่นปุ๊บ ดู เห็น เอ้ย ไม่ใช่ มันก็เอามุกเดิมมาหลอก..เฮ้ย แป้กว่ะ มันก็ทิ้งมุกไป

เห็นมั้ย กิเลสมันก็สรรหาสารพัด เขาเรียกกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด มันจะงัดมาตลอดน่ะ ให้เกิดความเผลอเพลินลุ่มหลง...ไปเป็นกับมัน ไปมีกับมัน

พอฉลาดเท่าทันขึ้นๆ ทีนี้มันไม่รู้จะเอาอะไรมาหลอกแล้ว มันก็เลยรู้สึกตัวเองว่าเงียบปากซะดีกว่ามั้ย ...กิเลสมันจะอยู่ของมันแบบเงียบๆ จิตจะอยู่เงียบๆ

จิตจะเกิดภาวะที่สงวนจิต จะสงวนจิต จะหดตัว จะไม่ปรุงแต่ง จะไม่หลอก เป็นเรื่องราวมาหลอก จะไม่สร้างอารมณ์ขึ้นมาหลอกล่อเลย จิตมันจะหดตัวโดยธรรมชาติเลย


(ต่อแทร็ก 16/35  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น