วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/33 (2)


พระอาจารย์
16/33 (571024A)
24 ตุลาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 16/33  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แทนที่จะมาชี้ผิดชี้ถูก ชี้ว่าคนนี้ถูกกว่าในศีล คนนี้ผิดกว่าในศีล ...มารักษาศีลเจ้าของไม่ดีกว่าหรือ 

ครูบาอาจารย์นี่ เวลาไปถาม บางท่านบางองค์นี่ท่านพูดน้อย ท่านไม่พูด ท่านไม่อธิบาย ...ไปถามท่านว่า ท่านทำอย่างไรภาวนา ขนาดอายุท่านขนาดนี้ยังเดินจงกรม นั่งสมาธิ 

ท่านบอกไม่ทำอะไร นั่งเฝ้าเจ้าของ เดินเฝ้าเจ้าของ ...นั่นน่ะหน้าที่การงานของพระอริยะ ท่านเฝ้าเจ้าของ

ถ้าถามว่าทำไมไม่นั่งหลับตาบ้าง ...ลืมตาก็เฝ้าเจ้าของได้ หลับตาก็เฝ้าเจ้าของได้ ...นี่คือหน้าที่สัมมาอาชีโว การงานหลัก เฝ้าเจ้าของนี่แหละ 

เหมือนหมาเฝ้าบ้าน แต่ไอ้หมาตัวนี้สันดานมันไม่ดี...หมาคือจิตที่ไม่ได้รับการอบรมนะ ...จิตที่ไม่ได้รับการอบรม สันดานไม่ดี กัด เห่า ไม่เห่าก็กัด เอามั้ยล่ะ

จิตที่ไม่ได้รับการอบรม จะเป็นจิตที่ถูกผลักดันด้วยอำนาจของกิเลสคือเรา ...มันไม่รู้จักบ้านอยู่ไหนหรอก ไปพักพิงที่บ้านคนอื่นซะอย่างนั้น  แล้วพอพักไปพักมา เหมาเลยว่า เออ บ้านกูเอง

ไปถือครองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจัดการเสร็จสรรพ จนเจ้าของบ้านนั้นงงว่ะ มึงยุ่งอะไรกับกูนักหนา ...นั่นน่ะจิต หมาที่ไม่รู้จักบ้านเจ้าของ คือหมาที่ไม่ได้รับการอบรม

แต่พอเอาสติมาอบรม ...หมาที่ดื้อ มันก็ขู่ตัวมันเองนั่นแหละ ฮื่อๆ แฮ่ๆ กระเสือกกระสน ดิ้นรน จะไปให้ได้ๆ  เอาโซ่ล่ามไว้แล้วนะนั่นน่ะ กูจะไปๆ อยู่นั่นน่ะ

ไอ้ตัวผู้ปฏิบัติเจ้าของก็ใจอ่อน เสียงร่ำร้องเห่าหอนทั้งคืน กูนอนไม่หลับ ก็เปิดประตูให้มันไปซะ มันจะได้ไปไกลๆ กู ...หมามันก็บอก กูรอช่องนี้มานานแล้ว (หัวเราะกัน) กูรอมานานแล้ว

เพราะนั้นไอ้ช่องออกที่ท่านว่าสำรวมอินทรีย์ทั้งหกนี่คืออะไร ประตูหน้าต่างที่เข้าออกคืออะไร ...ตาหูจมูกลิ้นกายใจนั่นเอง คือทางออกของจิตที่ไม่ดี...มันไม่ใช่ว่าออกไปดีนะ ออกไปน่ะไม่ดีหมด

แต่คราวนี้ไอ้ตัวเจ้าของก็ทนไม่ไหวน่ะ มันเห่าหอนทั้งคืนกูนอนไม่หลับว่ะ นี่ หาอะไรทำ เข้าเฟซ เปิดไลน์ ...เสร็จเลย มีช่องทางออกแล้วนะ ทีนี้ท่องไปทั่วพิภพจบแดนเลย

เพลิดเพลินนะ เห็นมั้ย มันเงียบจากเสียงเห่าหอนภายในแล้ว สบายใจแทน เพลิดเพลินแทน นี่ แล้วเราก็ไปเข้าข้างถือหางมันน่ะ ...เข้าใจคำว่าละเมิดศีลรึยัง

เพราะจิตที่ละเมิดศีล..จึงเป็นทุกข์ เพราะจิตที่ละเมิดศีล..จึงโง่เขลาเบาปัญญา เพราะจิตที่ละเมิดศีล..จึงพอกพูนความเห็นผิดมากมาย

อานิสงส์ของศีลน่ะ...ไม่ใช่เล็กน้อยนะ ไม่ใช่แค่ปิดอบายอย่างที่พวกเราเข้าใจแค่นั้น อย่างนี้ แล้วเราจะไม่เข้าถึงศีลที่ปิดอบายเลยด้วย

เราถึงบอกว่า ผู้ปฏิบัติท่านใดที่สามารถตายไปพร้อมกับศีลได้ ผู้นั้นน่ะจะปิดอบาย ...ตายกับศีล ตายในศีล ผู้นั้นจะปิดอบาย  เพราะนั้นผู้ที่ตายกับศีล ตายในศีล คือใคร...อย่างต่ำ พระโสดาบัน

แต่พวกเราเลียนแบบได้ เข้าใจมั้ย กำลังจะตาย ใกล้จะตาย...อย่าดิ้น อย่าร้องแรกแหกกระเชอ ...ดูไว้ ดูตัวเองปวดไว้ ดูความทรมานของกายไว้ อยู่ตรงนั้นแหละ รับรองไม่ต่ำกว่าคน

แต่เราจะไม่พูดว่าปิดอบายนะ แต่เรารับรองว่าจะไม่ค่อยต่ำกว่าคน แล้วก็ไม่เกินคน เข้าใจคำว่าเกินคนไหม เกินคนคือเทวดา พรหม...ก็ไม่เกิน


โยม –  พระโสดาบันนี่ก็มาเป็นคนรึเปล่าครับ

พระอาจารย์ –  ยังไงก็คน ...เพราะเมื่อใดที่ทิ้งความเป็นคน ไม่ได้เกิดมาเป็นคน...ผลจากการที่ไม่ได้เป็นคน คือไม่มีกายให้ดู ไม่มีกายให้เป็นที่ทำความแจ้งในกาย 

ถ้าไม่มีกายให้ดู ถ้าไม่มาทำความแจ้งในกายเพราะไม่มีกายให้ดู ...แล้วถามว่ามันจะละสังโยชน์เบื้องต้นได้มั้ย

แล้วมันมีพระอริยะพุทธกาลไหน ที่มันไปละสังโยชน์เบื้องกลางกับเบื้องสูงก่อน แล้วค่อยมาละสังโยชน์เบื้องต้น...ไม่มี เข้าใจมั้ย

เพราะนั้น ให้ยืดคอชูอกเลยว่า กูเกิดเป็นคนนี่โคตรโชคดีเลยว่ะ ...อย่าไปฝันหวานว่าไปเป็นเทวดาชาติหน้านะ มันละโอกาสในการเจริญเดินไปในมรรคซะอย่างนั้นเลย

เพราะกายนี่ เป็นแหล่งรวมแห่งความโง่เขลาอย่างยิ่งเลย กายตัวนี้เป็นที่ติดข้องอย่างยิ่งเลย ...ถ้าไม่รู้แจ้งเห็นจริงในมันนะ ไม่มีทางออกจากมันได้เลย ...ขนาดสังโยชน์หกตัวนี่ ก็เป็นเรื่องเนื่องด้วยกายล้วนๆ เลย 

เมื่อย..ก็เป็นเราเมื่อย จะเหน็บ..ก็เราเหน็บ เราเป็นน่ะ มองยังไงก็มองไม่ออกว่ามันเป็นเหน็บของมัน ไม่ใช่เหน็บของเรา ...เห็นมั้ยว่าความมีปัญญานี่ ที่เห็นกายตามความเป็นจริงน้อยนิดเหลือเกิน

พอถึงจุดนี้ปั๊บนี่ มันเกิดความทุรนทุรายในจิต เพราะว่าจิตนี่มันไปผสมกลืนกันกับกายนี้ ว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องของเราทั้งหมดเลย...ซะอย่างหน้าด้านๆ ด้วย

เข้าใจมั้ยว่ากิเลสนี่ความแอบอ้างเอาแบบหน้าด้านๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ มารองรับเลย ...เอามั้ยล่ะ หาเหตุผลใดมารองรับว่าไอ้ขานี้เป็นเราได้มั้ย

มันก็จะมีเหตุผลรองรับเอาแบบง่ายๆ ว่า “ไม่ใช่กูก็หมาดิ” (หัวเราะกัน) ...เนี่ยคือเหตุผลง่ายๆ ของมัน มันก็บอกอย่างนี้  แล้วก็ตัดปัญหาเลย ยังไงก็เรา ถ้าไม่ใช่เรา..ก็หมานั่งรึไง

แล้วก็จบ ไม่ได้ใคร่ครวญอะไรต่อเลยนะ แล้วก็เชื่ออย่างนั้นเลย  นั่น มันปัดไปแบบหน้าด้านๆ อย่างงั้นเลย ...เห็นมั้ย เอาเข้าจริงๆ มันไม่มีเหตุผลรองรับเลย

แต่ถ้าพอมองกายนี่ไม่ผ่านเรา แต่มองกายผ่านศีลสมาธิปัญญา มองกายผ่านจิตที่เป็นกลาง มองกายผ่านจิตที่ตั้งมั่น ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุง ไม่ออกความเห็น

มันจะเห็นกายในอีกมิติหนึ่ง ที่มันเป็นแค่ก้อนอะไรก็ไม่รู้...เดี๋ยวนี้ ดูดีๆ ก็ยังเห็น มันจะมีจิตหนึ่งที่รู้ เพราะกายตัวนี้มันยังมีทนโท่เลย เนี่ย

ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของกายนี้ได้เลย ไม่ว่ากิเลสกองไหนตัวไหน ไม่ว่ากิเลสหยาบละเอียดปราณีตตัวไหน จะไม่มีการมาเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของกายนี้ตรงนี้ได้เลย

ขอให้เหยียบถึงหยั่งถึงเถอะ แล้วให้ตั้งมั่นอยู่กับกายนี้ไว้ ...เดี๋ยวจะเกิดความชัดเจนเอง ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรเป็นข้อความเท็จ อะไรเป็นคำกล่าวอ้างแบบเลื่อนๆ ลอยๆ

ทีนี้จะรู้จักเองว่า กูโง่มาตั้งนานนะนี่ แต่กูหลงว่ากูฉลาด ...นั่น มันจะกลับมองกลับ มันกลับเห็นว่าโคตรโง่เลยว่ะ โง่อย่างนี้มาอเนกชาติแล้ว จึงมาวนตายวนเกิด

นี่ มีกายชายกายหญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว ...แล้วก็ยังเอากายนี้มานั่งหลับตา แล้วก็มาถามว่า จะนั่งขัดสมาธิเพชรหรือไม่เพชร สองหรือสามชั้นดี มันจึงจะเร็วกว่า 

เอ๊อะ กูล่ะงง ...เข้าใจมั้ย เข้าใจคำว่ารูปแบบมั้ย เข้าใจคำว่าติดในรูปแบบมั้ย แล้วก็มาเสียเวลาค้นหารูปแบบที่ถูกต้อง


โยม –  ก็ถ้าไม่สงสัยก็ไม่ได้คุยกับพระอาจารย์ครับ

พระอาจารย์ –  เออ เห็นมั้ย บางทีตายแล้วยังไม่หายสงสัยเลย ...เอ๊ะ กูนั่งสมาธิเพชร แล้วเขาไม่เพชร แล้วกูนั่งเพชรนี่ มันผิดหรือเปล่า ...มันสมควรมั้ยเนี่ย 

อุตส่าห์ลงทุน ลงทุนใส่ชุดขาวด้วยนะนี่ จะเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ...นี่ดียังไม่บวช


โยม –  กำลังคิดอยู่ครับ

พระอาจารย์ –  ถ้าบวชนี่ยิ่งไปใหญ่เลย เพราะว่ามันจะมีพวกรอบข้างเนี่ย เขาเรียกว่าอะไร...ไซโคน่ะ ...คอยเอื้ออาทร อย่างนั้นสิ อย่างนี้ใช่ ท่านไม่ใช่ ต้องอย่างผม ไอ้ท่านทำนี่ไม่ถูกหรอก

เนี่ย หันซ้ายที หันขวาที หันไปเจอไอ้อีกคนก็บอกผิด กูก็หันซ้ายอีก มันไซโคตลอด จนงง ...งงแล้วทำไง เข้าเปิดตำรา ถาม “กู๋” (หัวเราะกัน) หาใหญ่ๆ

มันไม่สามารถก้าวพ้นความสงสัยได้เลย ตราบใดที่ยังสนับสนุนให้มีการค้นและหา ...ถึงบอกว่าต้องปักใจปักกาย ปักกายลงในที่อันเดียวจริงๆ ถึงจะเล่นกับกิเลสอยู่

ไม่งั้นน่ะมันเนียน มาแบบเนียนก็มา มาแบบซึ่งๆ หน้าก็มา มาแบบเหนือเมฆมันก็มา มาทุกรูปแบบน่ะ 

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ หรือคอยหยิบกิเลสมาตีแผ่ให้เห็นชาติตระกูลมันนี่ หูย กูเคารพนบนอบมันมาเป็นอเนกชาติเลย ...นึกว่าเป็นธรรมๆ นึกว่าจะเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสด้วยซ้ำ

ถึงบอกว่ากิเลสนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว และกิเลสเป็นอะไรที่แนบเนียนมาก ...มันแทรกซึมทุกอณูขุมขน มันครอบคลุมสามโลกธาตุ มันปิดบังความเป็นจริงทุกหย่อมหญ้า ทุกอณูธรรม 

ถ้าเริ่มไม่ถูกไม่ตรงเสียทีเดียว...จบเลย จบกิจไปพร้อมกิเลส ประมาณนั้นน่ะ


(ต่อแทร็ก 16/34)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น