วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/35 (2)


พระอาจารย์
16/35 (571024C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
24 ตุลาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 16/35  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เมื่อจิตมันหดตัว หยุดความปรุงแต่ง ระงับความปรุงแต่งด้วยตัวของมันเอง คือมันลงให้ศีลสมาธิปัญญานั่นเอง

พอมันลงให้ศีลสมาธิปัญญา มันหยุดความปรุงแต่ง ระงับความปรุงแต่ง ได้เป็นระยะเวลาอันยาวนานขึ้น ...ธรรมเบื้องหน้าที่ปรากฏคือกาย จะชัดเจนแบบหาที่ติมิได้

เป็นบริสุทธิธรรม เป็นวิสุทธิกาย เป็นศีลเป็นกายอันบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากมลทิน ที่ไม่ใช่ “เรา” อย่างยิ่งยวด ...นี่ ปัญญาขั้นสูงจะเกิดขึ้น ยอมรับต่อสภาพธรรมที่ไม่ใช่ “เรา” จริงๆ

แบบที่ไม่ต้องบีบบังคับให้เชื่อ...แต่เชื่อแบบไม่มีอะไรมาคัดค้านได้เลย ...ญาณทัสสนะ ญาณวิสุทธิทัสสนะบังเกิดขึ้น อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน กิเลสทีนี้ก็เริ่มสลาย

พอญาณตัวนี้เกิด ญาณวิมุติเกิด ญาณทัสสนะเกิด ญาณวิมุติเกิดนี่ กิเลสเริ่มสลายแล้ว ...ไอ้ที่มันระงับไว้ๆ รอเวลาช่วงเผลอ แล้วจะจาบจ้วงขึ้นมา  มันก็เริ่มสลาย หมดกำลัง 

จนสลายไป หมดสิ้นซึ่งกิเลสไป ทีนี้กายก็จะเด่นหรา ...ไม่ได้เด่นหราตามกิเลสปิดบังนะ เด่นหราตามความเป็นจริง เรียกว่าสว่างกาย กายก็ปรากฏด้วยความสว่าง ปราศจากมลทิน

ไปไหนก็ไป อยู่ไหนก็อยู่ เจออะไรก็เจอ  มันก็สว่าง อย่างไรอย่างนั้น ...ร้อนก็ร้อน เย็นก็เย็น ร้อนมากระทบก็ร้อน เย็นมากระทบก็เย็น แข็งมากระทบก็แข็ง

ก็สว่างอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเป็นเราเลย ชัดเจนมาก ...ต่างคนต่างอยู่ กายส่วนกาย รู้ส่วนรู้ ใจส่วนใจ กิเลสไม่ต้องถาม..ไม่มี ส่วนที่ไปครอบงำกาย..ไม่มี

ทำถึงจุดนี้นี่จะเรียกว่า ถอนหายใจเฮือก ...แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดนี้นะ ยังถอนหายใจไม่ได้เลย

ถึงบอกว่าการภาวนาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือไม่ใช่เรื่องที่ว่าง่ายๆ หรือว่าวันนี้พรุ่งนี้แล้วจะได้ผล ปีนี้หรือปีหน้าจะได้ผลนะ จะไปถอนหายใจได้ต่อเมื่อ นี่ มันสว่างกาย ...แต่ยังไม่สว่างใจนะ

แต่แค่สว่างกายอย่างเดียวนี่...อือ กูไม่เกิดแล้วเป็นคน ไม่มีคำว่าเกิดมาเป็นคนแล้ว เพราะไม่มีอะไรที่มันจะมาหลงว่านี้เป็นคน นี้เป็นตัวเราอีกแล้ว ...วางใจได้นะ วางใจได้แล้ว

แต่ถ้าต่ำกว่านั้นยังวางใจไม่ได้ เกิดแน่ เป็นคนแน่ๆ ...แล้วถ้ายังไม่ถึงขีดขั้นที่เรียกว่าเห็นฝั่งนั่นน่ะ เป็นอะไรก็ได้...นี่ยิ่งหนักขึ้นนะ เป็นอะไรก็ได้นี่

นี่หมายความว่า อย่างเช่นตอนนี้ เราถามตรงนี้เลย ให้ตายตรงนี้เลย รู้มั้ย จะเกิดเป็นอะไร ยืนยันกับตัวเองได้แบบเต็มปากเต็มคำมั้ย ยืนยันได้ถึงว่าจะเกิดกี่ชาติต่อไปมั้ย

มันไม่สามารถตอบได้เลย ใช่มั้ย แปลว่าไปไหนก็ได้ ...เห็นมั้ย มันตรวจสอบตัวเองได้นะ ไม่ใช่ว่าตรวจสอบไม่ได้นะ

แต่ถ้าเป็นจิตที่มีปัญญา ศีลสมาธิปัญญาพรั่งพร้อมแล้ว...ตอบได้นะ มองออกนะ มองความเป็นไปของกายใจนี้ได้ มองความเป็นไปของขันธ์ห้านี้ได้ ว่ามันจะมีต่อไปประมาณไหนดี หรือไม่มีเลย

ไม่ต้องไปเปิดตำรามาเป็นอนุธานวิกรมเลย มาเทียบเคียงเลยว่าตรงหรือไม่ตรงตามตำรา ...แต่มันจะยืนยันได้ด้วยญาณทัสสนะ ได้ด้วยศีลสมาธิปัญญาของเจ้าของนั่นแหละ

ยืนยันแบบตรงไปตรงมาด้วย ไม่มีบิดพลิ้ว เข้าข้างฝ่ายกิเลสเลย ...เพราะมันเป็นศัตรูกับกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ศีลสมาธิปัญญานี่ ...อย่ามาแอบอ้างนะ มันปัดทิ้งๆ ออกหมดเลย

แต่มันจะเห็นด้วยความตรงไปตรงมา...มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี มากก็มาก น้อยก็น้อย...มันว่ากันตรงๆ  ติดก็ติด ไม่ติดก็คือไม่ติด ติดมากก็คือติดมาก ไม่มีคำว่าแอบอ้างเลยว่า เอ้ย อย่างนั้นรึเปล่า อย่างนี้รึเปล่า...ไม่มี

จะตรงที่สุดเลย...กิเลสมี รู้ว่ามีเลย ประมาณนี้ มีเท่านี้ รู้เลยว่ายังมีเท่านี้ ไม่มีบิดพลิ้วเลย  หรือมันน้อยลงก็รู้เลยว่าไม่น้อยไปกว่านี้ แล้วก็ไม่น้อยไปตามที่คิดเอาเอง  ยังไง..อย่างงั้น มันจะตรงมาก

ไม่โกหก...อย่าว่าแต่ไม่โกหกคนอื่น ตัวมันเองยังไม่สามารถโกหกตัวมันเองได้เลย ...ติดก็รู้ว่าติด ไม่ได้ว่า ไม่ได้ถือว่าไม่ดี หรือว่าแอบอ้างว่า คงไม่ได้ติดหรอก อย่างนี้มันเป็นอย่างนั้นรึเปล่า...ไม่มีอ่ะ

ติดก็ติด ยึดก็ยึด ยังวางไม่ได้ก็รู้ว่ายังวางไม่ได้ วางได้บ้างก็รู้ว่าวางได้บ้าง หายไปแล้วก็รู้ว่าหายไปแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าลึกๆ ยังมีอยู่...ก็รู้ ...เอ้า นี่คือศีลสมาธิปัญญาจะไม่โกหกเลยนะ

มีแต่ปากนี่โกหก ปากที่มาจาก “เรา” นี่โกหก  แต่ตัวศีลตัวใจนี่ไม่โกหกเลย ...เพราะนั้นทุกคนจะรู้ มันมีมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้ว มาตรฐานของกิเลสนี่...อย่ามาโกหกนะ

เพราะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ท่านมองมาตรฐานนั้น ไม่มองมาตรฐานเปลือก ท่านไม่มองเปลือก แล้วท่านไม่เอาเปลือกมาเป็นที่วิจารณ์ ไม่ด่า..ทำไมเกิดมามึงไม่สวยวะ ไม่ชม..ทำไมมึงเกิดมาสวยเหลือเกินวะ 

ท่านไม่เอาตัวนั้นมาเป็นปัญหาเลย ...แต่ท่านจะเอาตัวที่ว่ากิเลสมากน้อย แล้วกำลังทำอย่างไร ในข้างสนับสนุนหรือในข้างถอดถอน หรือในข้างละวาง ...อย่างนี้ต่างหากที่ท่านจะสอน

แล้วก็แปลความโดยใช้ภาษาธรรมนี่มาสอน เพื่อให้เข้าไปถึงจุดนั้น ...ไม่ได้ให้ไปตกแต่งอะไร หรือไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขภายนอก เปลี่ยนแปลงแก้ไขอารมณ์ เปลี่ยนแปลงแก้ไขกิเลส

หรือแม้แต่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขจิตอะไร...ไม่สนเลย ...นี่ถึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ท่านสอนตรงต่อมรรค ตรงต่อการปฏิบัติ ไม่ได้เอาผลข้างเคียงของการปฏิบัติมาเป็นเมนเป็นหลัก

ผลข้างเคียงคือแบบ...ไอ้นั่งคุยกับเทวดา หรือไปนั่งดูความเป็นไปของสัตว์โลกที่มันเกิดมาในร้อยชาติที่แล้ว แล้วก็ไปตามชำระกรรมให้คนนั้นคนนี้ก่อนค่อยมาภาวนา ...ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เอาตัวนั้นเป็นเกณฑ์

สำหรับผู้ที่มี ผู้ที่ได้ ผู้ที่เป็นโดยสันดาน ก็เอาวางไว้ห่างๆ ไม่ไปข้องแวะกับมันมากจนเกินไป จนมาทำให้ศีลสมาธิปัญญาบกพร่อง นี่ถ้าอย่างนี้เรียกว่าจนเกินไป

แต่ถ้ากำลังพอดี คือหมายความว่าไม่ขาดซึ่งศีลสมาธิปัญญาระหว่างที่ไปแตะต้องมัน ...ซึ่งก็บอกว่า เป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ได้ว่าวางกิเลสได้จนถึงระดับที่วางใจได้แล้ว...ไม่มีทางหรอก ยากมาก

มันอดไม่ได้หรอกที่จะเข้าไปแบบสองตีนสองมือน่ะ ...ไอ้แรกๆ ก็มือหนึ่งตีนหนึ่ง อีกตีนหนึ่งก็เขย่งไว้ ยืนแบบเขย่งไว้บนศีลสมาธิปัญญา...แต่เขย่งได้ไม่นานหรอก สองตีนไปแล้ว

เหล่านี้ถึงบอกว่า ออกได้..ออก วางได้..วาง  ยืนหยัดไว้...สองแขนสองขา สองมือสองตีน ต้องยืนอยู่บนฝั่งศีลสมาธิปัญญา ฝั่งกายใจปัจจุบัน ฝั่งความรู้ตัว

จะเป็นตัวตรงไหนได้หมด ...หมายความว่าตัวในปัจจุบันนี่ ตรงไหนก็ได้  ตัวลมก็ได้ ตัวความรู้สึก ตึง แน่น แข็ง อ่อน ตัวรูปทรง กรอบรูปทรงก็ได้ ...อะไรก็ได้ขอให้มันเป็นกายปัจจุบันนี่แหละ 

ที่มันมีอยู่จริง ปรากฏจริงๆ ...ไม่ใช่สร้างขึ้นมาใหม่ ...อะไรที่ไปสร้างกายขึ้นมาใหม่ แล้วไปดูกายตัวนั้น เราจะไม่เรียกว่ากายตามจริงหรือกายที่เป็นศีลตามความเป็นจริง 

อะไรที่สร้างขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากกายปัจจุบันนี่ ถึงแม้จะเป็นแวดวงกายก็ตาม ...อย่างจิตบางดวง กำลังของจิตบางดวง เวลามันเพียรลงไปในกายที่เป็นกายความรู้สึกจริงๆ นี่ มันยังทะลุเกินกายเข้าไปเลย

ไปดูเป็นกระดูกบ้าง เป็นอะไรบ้าง เป็นเนื้อหนังตับไตไส้พุงอะไร ...ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่เราบอกว่ามันก็ยังไม่ใช่...ใช่ก็ยังไม่ตรง ...เราเอากายตรงๆ ที่ไม่ได้เกิดการสร้างขึ้นมาใหม่โดยจิต


โยม –  นั่นคือนิมิต

พระอาจารย์ –  นิมิตหมด เราถือเป็นนิมิต แม้จะเป็นนิมิตหรือลางดีก็ตาม  เข้าใจมั้ย นิมิตดีการเห็นกายนี่ เป็นกะโหลก เป็นกระดูก เป็นไส้พุง เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นหนอง อะไรก็ตาม

หรือเห็นกายฉีกขาดไม่เป็นชิ้นเป็นอันนี่ มันก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ...แต่ว่ามันจะเป็นตัวครอบกายอีกชั้นหนึ่ง  มันมีหลายเลเวลนะ หลายเลเยอร์ ที่มันคลุมอยู่

แล้วถ้าไปหมกมุ่น หรือว่าไปเพียรอยู่ในกายตัวนั้นจุดนั้น มันก็เกิดความเนิ่นช้าไป ...ถ้าไม่มีใครชี้นำให้ออกจากหรือละวาง หรือเข้าไปทำที่สุดของตรงจุดนั้น ...มันก็จะไปวนเวียนอยู่ตรงนั้น

แต่ถ้าเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ แล้วก็เข้มแข็ง แล้วก็ไม่เอานิมิตใดนิมิตหนึ่งเลย ถือกายเป็นหลัก ลงมาที่ความรู้สึกเลย ลงมาที่กาย ลงมาที่ก้นเลย...ถ้านั่งอยู่...แข็ง แค่นี้

หรือถ้าขยับนี่..รู้ แค่นี้  ...ถ้าหยุด ไม่ขยับ ก็รู้ทึบๆ  รู้สึกทึบ เป็นก้อนทึบๆ หนักๆ เป็นมวลน้ำหนักที่ทิ้งลงมา กดทับลงมา ...แค่นี้ อยู่แค่นี้ รู้อยู่แค่นี้

อย่าให้ลืมแล้วกัน อย่าให้ลืมความรู้สึกในกายนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในท่าทางไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม นี่คือความเพียร

ต้องเพียรให้ได้ตลอด...ที่เรียกว่าทุกลมหายใจเข้าออก ศีลจึงจะไม่บกพร่อง ...นั่น ไม่ต้องถามสมาธิปัญญาเลย  เพียงตัวเดียวนี่แหละ...เอาอยู่ๆ เอากิเลสอยู่


โยม –  พระอาจารย์...ขออนุญาตขึ้นไปบนวัด

พระอาจารย์ –  เออ ไป ฟังพอเข้าใจ นี่แค่หยิกๆ สะกิดๆ


โยม –  ต้องมาอีกแน่นอนครับ เพราะว่าต้องกลับไปทำให้กระจ่างในธรรมเบื้องต้นก่อนครับ ตรงนี้ยังต้องไปลุ้นกายก่อนครับ

โยม –  พระอาจารย์ขา โยมก็จะกราบลาแล้วค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ไป ตามสบาย ...ฟังพอเข้าใจจับประเด็นได้แล้ว ทีนี้ก็ไปปฏิบัติให้มันตรง  ใครที่ตรงอยู่แล้วก็ให้มันตรงยิ่งขึ้น อย่าเอา “เรา” มาสอดแทรกในการปฏิบัติ


(ต่อแทร็ก 16/36)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น