วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 16/34 (2)


พระอาจารย์
16/34 (571024B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
24 ตุลาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 16/34  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แล้วให้สังเกตไปเรื่อยๆ ให้เท่าทันอย่างนี้ อยู่ในฐานนี้ไว้อย่างนี้ ...แล้วจะเห็นพัฒนาการของมันไปเอง ว่าเคยมาแบบคอนเซ็นเทรต ประเภทเข้มข้นคลั่กเลย ...เฮ้ย มันแบบแผ่วๆ ว่ะ

เฮ้ย มันแผ่วไปได้ไงวะ เนี่ย มันจะเห็นอย่างนี้เอง ...คือแบบว่า มันสมควรจะโกรธมากๆ เลย ในเมสเสจที่ได้รับอย่างเดียวกัน คล้ายคลึงกันนี่...คือแต่ก่อนนี่โลกแตกแล้ว จิตน่ะระเบิด

แต่พอมาอยู่ในการทรงศีลสมาธิปัญญาแล้วสังเกต มันจะเห็นเลยว่า เจือจางลง ...คือยังมีนะ ไม่ใช่ไม่มีนะ แต่ความเข้มข้นไม่เท่าเดิม ...มันจะเห็นพัฒนาการในตัวของมันเองอย่างนี้นะ

แล้วก็ให้มั่นใจขึ้นว่า เออ มาถูกทางแล้วกู อย่างนี้ถือว่าถูกทางนะ ...ไม่ใช่ว่า “ไม่เห็นเทวดาเลยวันนี้” (หัวเราะกัน) “ยังไม่มีนิมิตคนไหนมาโปรดเลย” เข้าใจมั้ย


โยม –  เข้าใจครับ

พระอาจารย์ –  อย่าไปเข้าใจว่าผลของการภาวนาคือจุดนั้นนะ ...ผลของการภาวนาคือว่า เท่าทันอารมณ์ได้เร็วขึ้นมั้ย ไม่เข้าไปผสมกลมกลืนเวลามีอารมณ์เกิดอารมณ์มากขึ้นได้มั้ย รั้งมันอยู่มั้ย


โยม –  พระอาจารย์คะ วันก่อนโยมเห็นอารมณ์ที่มันโอ้อวดน่ะค่ะ มันเห็น แต่มันไม่เข้าไปห้าม เห็นแล้วก็มันมีทางวาจาที่พูดไปนะคะ หนูก็เห็นมันน่ะค่ะ แต่หนูก็ไม่ได้เข้าไปจัดการอะไรค่ะ

พระอาจารย์ –  เนี่ย เขาเรียกว่า ยังตามมันต้อยๆ เข้าใจมั้ย ...การเห็นลักษณะนี้ถือว่ายังเป็นการเห็นที่ไม่ตรงต่อศีล เห็นแล้วตามกิเลสไปต้อยๆ เหมือนลูกแหง่

เพราะนั้นหักอกหักใจ...เรื่องของมึง มึงไปเหอะ มึงไป ปล่อยให้มันคิดไป ปล่อยให้มันปรุงไป ...อย่าตาม 

ให้อยู่ ...เข้าใจคำว่าอยู่มั้ย อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับศีล ต้องอยู่กับกายไว้ ...ต้องหัก หักลำกลับ แล้วก็ยืนหยัดมั่นคงไว้ อย่างนี้ถือว่าไม่ตามกิเลส


โยม –  มันไม่ทันค่ะ อย่างที่เห็น มันไปแล้วก็เห็นการไปของมัน (หัวเราะ)

พระอาจารย์ –  มันอ้อยอิ่งน่ะ ...เข้าใจคำว่าอ้อยอิ่งมั้ย มันไปอ้อยอิ่งกับกิเลส แล้วก็มันอ้อยอิ่งไปทำไม ...จะได้ดูจนกว่ามันจะดับไปเอง ใช่มั้ย


โยม –  ใช่เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  แล้วมันถือจุดนั้นน่ะ เป็นจุดสิ้นสุดของการปฏิบัติกูแล้ว


โยม –  ใช่เจ้าค่ะ (หัวเราะ) มันจะดูให้ดับ

พระอาจารย์ –  อือ จนกว่าจะดับน่ะ...โอย เหนื่อยว่ะ กว่าจะเห็นมันดับนี่ นานเหมือนกันนะ อย่างเงี้ย ...ระหว่างนั้นน่ะ เราเรียกว่านอกเหนือองค์ศีลหมดเลย ใช่ป่าว

แต่ระหว่างที่เห็นนี่ เห็นแล้วนี่มันกำลังเดินต้อยๆ  แล้วก็.."มาดิ มึงตามกูมาดิๆ" ...อย่าตามนะ ให้มันเดินไป อย่าตามนะ ...อยู่ ต้องอยู่นะ ถึงบอกว่าฐาน ต้องอยู่ที่ฐานนะ ต้องมีที่มีฐานให้อยู่ ศีลนี่เป็นฐาน

ทีนี้มันก็ไปแบบ fade out  ทีนี้มันจะเฟดของมันไปเอง แล้วบางทีมันเฟดไปตอนไหนยังไม่รู้เลย ...เพราะไม่ได้สนใจ เออ เอากับมันดิ

เห็นมั้ย การให้ค่าให้ความสำคัญกับกิเลสเริ่มน้อยลง การให้ค่าให้ความสำคัญกับจิตปรุงแต่งเริ่มน้อยลง การให้การให้ความสำคัญว่ามันมีอยู่จริง มันเป็นเรื่องจริง เริ่มน้อยลง

เห็นมั้ย สถานภาพของมันนี่ มันจะหมดราคา มันจะค่อยๆ หมดราคาในตัวของมันเอง ...แต่ราคาค่างวดของกายใจ ราคาค่างวดของศีลสมาธิปัญญา กลับมีคุณค่ามากขึ้น

มันเปลี่ยนนะ มันจะเปลี่ยนทิศทางใหม่ สำคัญน่ะคือไอ้ตัวเรานี่จะไม่ค่อยยอมเปลี่ยน เพราะมันจะมีตัวเราเป็นผู้บงการอยู่ลึกๆ เพราะพวกเรายังไม่สามารถข้าม "เรา" ได้อยู่แล้ว

มันจะมี "เรา" ลึกๆ  แม้กระทั่ง "เรา" ในปัจจุบัน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ...มันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแบบมีหน้าออกหน้า หรือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแบบซ่อนหน้าก็ได้

แต่ให้รู้เลยว่า การที่จิตมันเคลื่อนออกไปมานี่ ทุกอย่างล้วนมีเจตนาแห่ง "เรา" เป็นที่ตั้ง ...แต่จะมองเห็นหรือไม่เห็นนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าผู้ที่มุ่งมั่นในศีลสมาธิปัญญา หมายความว่าจะตัดตายขายขาดกับมันแล้วนี่ ...ทุกความคิด ทุกอารมณ์...ไม่เอาคือไม่เอา ไม่ตามคือไม่ตาม หยุดคือหยุด อยู่คืออยู่

ถือกายนี้เป็นที่อยู่ เป็นสรณะ ถือศีลเป็นสรณะ ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ...ไม่เอากิเลสเป็นสรณะ ไม่เอารูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นสรณะ

ไม่เอาอดีตอนาคตเป็นสรณะ ไม่เอาสุขทุกข์ข้างหน้าข้างหลังเป็นสรณะ ...แต่เอาศีลเป็นสรณะ สมาธิเป็นที่ตั้งเป็นสรณะ ปัญญารู้เห็นภายในเป็นสรณะ

เข้าใจคำว่ารู้เห็นภายในมั้ย คือรู้เห็นเรื่องราวของกายเจ้าของตัวเองนั่นแหละ เรียกว่ารู้เห็นภายใน ไม่ไปรู้เห็นภายนอก ต้องแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้มา..จากการเข้าไปครุ่นคิดในภายนอก

นี่ มันจะมีผลประโยชน์เป็นเครื่องล่อ ใช่มั้ย ...คิดมากจะได้ผลมาก คิดมากจะได้สุขที่ดีขึ้นละเอียดขึ้นนิ่งนานขึ้น และมีคนได้รับผลแห่งสุขที่เรากระทำนั้นมากขึ้น ยอมรับขึ้น

มันมีผลประโยชน์แห่งเราเป็นที่ตั้งอยู่ ...นั่นน่ะ เราจะต้องสละออกซึ่งประโยชน์อันไร้ค่านั้นเสียให้ได้ มันจะให้ประโยชน์ใดแก่เราถือว่าประโยชน์นั้นไร้ค่า

เพราะอะไร ...เพราะการมีประโยชน์แก่เราก็เหมือนเอาอาหารมาเลี้ยง เป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงกิเลส หล่อเลี้ยงตัวเรา ให้แข็งแกร่ง ให้แข็งแรง ให้แน่นหนาถาวรขึ้น ให้เสถียร

แต่เมื่อไม่มีประโยชน์เป็นผลแก่เรา เหมือนไม่ได้ให้ข้าวให้น้ำมันกิน ถามว่าความรู้สึกที่เป็นตัวเรานั้นน่ะ มันจะอ่อนแอลงไหม ถ้าเราไม่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้มัน

เพราะนั้น จะจำกัดการให้ข้าวให้น้ำแก่มัน หรือไม่ให้มันโดยสิ้นเชิง ...อันนี้ตามกำลังนะ ไม่เหมือนกันนะ แต่ละคน การละกิเลส การวางกิเลส แล้วแต่ความอุกฤษฏ์

ถ้าเป็นระดับพระนี่ต้องเรียกว่าไม่ให้ข้าวน้ำมันเลย เพราะไม่มีหน้าที่การงานอื่นเลย เข้าใจมั้ย ไม่มีเรื่องที่จะมาอ้างว่า จำเป็นต้องคิด จึงต้องอาศัยความคิดและอารมณ์

เพราะนั้นเป็นพระนี่ งานก็ไม่ต้องทำ เงินก็ไม่ต้องหา หาอยู่หากินก็แล้วแต่เขาจะให้ ...เพราะนั้นอย่าอ้างนะ จิตมันจะต้องถูกการอดข้าวอดน้ำอย่างเข้มงวดเลย คือไม่ให้เงยหน้าอ้าปากมาได้เลย

แต่มันก็จะอยู่ข้างใน แล้วมันก็ตีฆ้องก๊อกๆ ..ไปหน่อยนะๆ ...แล้วก็มาก๊อกๆ ไม่พอ มันก็เหลียวมองคนอื่น คนอื่นเขายังทำเลย ทำไมเรายังอยู่อย่างนี้ ...ก๊อกๆ เหมือนกะลาขอทานอยู่อย่างนั้นน่ะ

ต้องอดทน ...เพราะถ้าไม่อดข้าวอดน้ำมันแบบถึงเลือด ถึงเนื้อ ถึงตัว แบบถึงจิตถึงใจกันจริงๆ นี่  ถึงศีลถึงธรรมกันจริงๆ นี่ ...กิเลสไม่ตายง่ายๆ หรอก

ทีนี้เมื่อกิเลสมันอยู่ในกำมือของศีลสมาธิปัญญาแล้ว แบบจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด ...ถามว่าจะคลายมั้ย...ไม่มีทาง บอกเลย ถึงจุดนั้นไม่มีทางคลายแล้ว

เนี่ยนะมึง..กว่าจะเอามึงอยู่ในอุ้งมือกูนี่นะ กูทำมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วนะ มีหรือจะคลายให้มึงมาวาดลวดลายได้อีก ไม่มีทางง่ายหรอกว่ะ

เพราะนั้นการสู้กับกิเลส การสู้กับจิตของตัวเอง การสู้กับความปรารถนาและความไม่ปรารถนาแห่งเราเองนี่ ไม่ใช่ของง่ายเลย ...มันจะต้องอาศัยความเพียรและเวลา แบบไม่ท้อถอย

หยุดได้ ท้อได้..แต่อย่าถอย อย่าเลิกล้ม ...แล้วก็ต้องวนซ้ำอยู่ในจุดเดิมที่เดิม ไม่เปลี่ยนที่ ไม่สะเปะสะปะ ไม่เป็นคนหลายใจ ไม่เป็นคนเลือกที่รักมักที่ชัง ...เป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบ

รักเดียวใจเดียว ไม่หลายใจ ไม่หลายทางเลือก ศีลคือศีล กายคือกาย...ช่างหัวจิตมัน มันจะคิดนึกอะไร ไซโคกูตลอดทั้งวัน..ยันหลับยังฝันอีก ...ไม่เชื่ออีกแล้ว ไม่ตามมันอีกแล้ว ไม่ฟังมันด้วย

ถ้าอย่างนี้..ไม่มีคำว่าเนิ่นช้าเลย จะไม่เนิ่นช้าเลย ...บอกให้เลย พวกเรานี่ที่เนิ่นช้าหรือไม่ไปถึงไหน เพราะพวกเราปล่อยจิตเกินไป ปล่อยให้มีอารมณ์แล้วไปคลุกเคล้าในอารมณ์เกินไป

การปล่อยจิตแล้วปล่อยให้เกิดการคลุกเคล้า หรือค้นหา...ในอารมณ์บ้าง ในจิตบ้างนี่ มันดึงเวลาแห่งศีลสมาธิปัญญาไปในวันหนึ่งๆ ในชีวิตหนึ่งๆ ในชาติหนึ่งๆ แห่งการเกิดมามีกายใจ

กว่าที่จะเก็บหอมรอมริบ รวบรวมจิตให้มาอยู่ในก้อนศีลกองกาย แบบไม่ให้ตกหล่น ประเภทว่าเก็บทุกเม็ดน่ะ ...แล้วไม่ได้เก็บอย่างเดียวนะ รักษาอีกต่างหาก

จึงจะเข้าใจได้เองว่า นี่เองที่เรียกว่าบริบูรณ์ในศีล เกิดความเต็มเปี่ยมในศีล เกิดความที่เรียกว่าไม่บกพร่องในศีล ไม่ขาดตกบกพร่องล้มหายในศีล คงไว้ซึ่งความบริบูรณ์บริสุทธิ์แห่งศีล

อะไรไม่รู้..ก็จะรู้ตรงนั้น อะไรไม่แจ้ง..ก็จะแจ้งตรงนั้น อะไรไม่เข้าใจ..ก็จะเข้าใจตรงนั้น อะไรที่ว่าวางไม่ได้ วางได้ยาก..มันจะวางได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ง่ายอย่างที่ว่าดีดนิ้วก็หลุดแล้ว

แต่พวกเราตอนนี้น่ะ...ในการละวางกิเลสนี่ ถือทั้งมีด ถือทั้งปืนนะ มึงยังไม่ยอมออกจากกูเลยน่ะ ...ไม่ใช่ของง่ายเลยในการวางอารมณ์ วางความรู้สึก

ที่จะไม่ให้มันหงุดหงิด ไม่ให้มันรำคาญ ไม่ให้มันเกลียด ไม่ให้มันขุ่นข้องหมองใจนี่  มันยังไม่ยอมเลย  ขนาดเอาศีลมาขู่มันด้วยนะ ...มันบอกว่า "เดะๆ แค่เนี้ยเหรอ เดะๆ"

แต่พอเจอศีลในระดับมหาศีล บริบูรณ์ด้วยศีล กิเลสนี่เหมือนสยบอยู่แทบตีนเลย ไม่มีสิทธิ์หืออือเลย จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ...หมายความเหมือนปลิดทิ้งอยู่ตลอด ความเป็นสมุจเฉท ง่ายมากๆ เลย

แต่ตอนนี้มันไม่เฉทน่ะ ...เหมือนสปริง ตีไปปึ๊ง มันตีกลับปึ้ง เมื่อไหร่มันจะขาดวะ มาอีกแล้ว นึกว่าไปแล้ว ...กูแค่หลบไปเลียแผลว่ะ เดี๋ยวกูก็มาฮื่อแฮ่ใส่มึงใหม่ อยู่อย่างนี้

เราจะต้องวนเวียนอยู่กับการละการวางกิเลส ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ...เพราะอะไร ...เพราะเราไม่เคร่งครัดในศีล เราไม่จริงจังในศีล เราไม่เข้มข้นในการปฏิบัติ...มันจึงถึงฝั่ง เข้าฝั่งได้ยาก


(ต่อแทร็ก 16/35)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น